“สุวัจน์” โชว์วิชั่นการเมือง ชี้ 3 วิธีป้องกันรัฐประหาร นักการเมืองไม่ทุจริต หยุดเล่นการเมืองบนถนน เล่นการเมืองมีใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ลั่นนโยบายค่าแรงมุ่งเพิ่มทักษะพัฒนาฝีมือทำงานคู่เอไอ – หุ่นยนต์ ดันค่าแรง ลั่นไม่เอาประชานิยม ไม่ขึ้นภาษี มุ่งหารายได้ ชูแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นอุตสาหกรรม บูมการท่องเที่ยว ลงทุนภาครัฐ

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.เวลา 17.00 น.ที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวที “ลุยศึกเลือกตั้ง 62” เวทีประชันวิสัยทัศน์ทางการเมืองว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้รับความสนใจจากนิสิตนักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าร่วมรับฟังอย่างล้นหลาม

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวตอบคำถามว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเงื่อนไขรัฐประหารอีก โดยระบุว่า พรรคการเมืองต้องทำ 3 เรื่อง คือ 1.พรรคการเมืองต้องสร้างภูมิคุ้มกันในการทำงานการเมืองต้องไม่ให้เกิดข้อครหาการทุจริตคอร์รัปชันและการทำงานการเมืองต้องระมัดระวังในการใช้เสียงข้างมากอย่างมีเหตุมีผลไม่เช่นนั้นจะเกิดโรคแทรกซ้อนจากรัฐประหาร ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเมืองเพื่อไม่สร้างเงื่อนไข หรือ จุดอ่อนให้เกิดรัฐประหาร 2. ความขัดแย้งในสภา ต้องจบในสภา ไม่ควรออกมาชุมนุมประท้วง และ 3.พรรคการเมืองต้องทำงานการเมืองโดยยึดแนวทางการเมืองแบบนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ และ รู้อภัย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันโดยยึดเสถียรภาพทางการเมืองเป็นหลัก

นายสุวัจน์ กล่าวว่าจุดยืนเรื่องรัฐประหาร เหมือนกัน คือ ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะประชาธิปไตย คือ หลักการปกครองสากลที่ทั่วโลกให้การยอมรับ แต่เมื่อมีรัฐบาลประชาธิปไตย จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นในสายตาต่างประเทศ ส่วนจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดรัฐประหาร สิ่งสำคัญ คือ จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางการเมืองและเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง

“พรรคชาติพัฒนาจะพยายามเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเมืองให้มีเสถียรภาพและการเมืองต้องไม่ไปเป็นต้นเหตุหรือไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาให้เกิดรัฐประหาร” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวว่านโยบายเศรษฐกิจรากหญ้า มีนโยบายเร่งด่วน คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวระดับตำบลละ 2 ล้านบาท ส่งเสริมสินค้าโอทอป หรือ การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินมาสู่เศรษฐกิจรากหญ้า และการจัดตั้งกองทุนภาคเกษตร 2 หมื่นล้านบาทเพื่อยกระดับ Smart Farmer พร้อมกับเน้นการสร้างเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีด้วยการเร่งโครงข่าย 5 G เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบสาธารณสุข และ การศึกษา รวมถึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยโครงการรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ และส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตร ถือเป็นการสร้างเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นายสุวัจน์ กล่าวถึงประเด็นค่าแรงงานขั้นต่ำ วันละ 425 บาท ว่าควรเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับจาก 3 ฝ่าย หรือ ไตรภาคี ภาครัฐ ภาคเอกชน และ ลูกจ้าง เพราะขึ้นค่าแรงสูงไป ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี จะอยู่ไม่ได้ หรือ หากกดค่าแรงขั้นต่ำมากไปภาคแรงงานย่อมอยู่ลำบาก ดังนั้นต้องใช้กลไกไตรภาคี เพื่อมาถ่วงดุล แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถให้แรงงานมีคุณภาพ ด้วยการเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน เพราะอนาคตจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) หรือ หุ่นยนต์เข้ามา ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานกับเทคโนโลยีไปด้วย ถือเป็นการยกระดับแรงงานให้มีคุณภาพ สามารถยกระดับค่าแรงให้สูงขึ้นได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการเชื่อมเทคโนโลยีและแรงงานเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ควรผูกติดอยู่กับค่าแรงข้นต่ำเพียงอย่างเดียว

“วันนี้นโยบายเศรษฐกิจของประเทศ อยากเห็นรัฐบาลใหม่ควรเปิดใจกว้าง ไม่ต้องคิดว่านโยบายเศรษฐกิจเป็นของพรรคไหน แต่ถ้าเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ดี สามารถร่วมมือกันได้นี้คือสิ่งที่อยากเห็น” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวพรรคชาติพัฒนา ไม่เน้นนโยบายประชานิยม เพราะต้องใช้งบประมาณสูงและใช้ภาษีประชาชน แต่การลงทุนภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐานพรรคชาติพัฒนา สนับสนุนแนวทางการลงทุนภาครัฐร่วมกับเอกชน หรือ PPP และเน้นหารายได้ใหม่เข้าประเทศ เช่น การพัฒนาสินค้าเกษตรเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และการเติบโตด้วยความเข้มแข็งด้านการท่องเที่ยว เพราะกระจายรายได้ทุกอาชีพและทั่วถึง

“ประเทศมีรายจ่ายมากอยู่แล้ว จึงไม่ควรขึ้นภาษี แต่ควรเพิ่มรายรับให้มากขึ้น ผ่านการลงทุนภาครัฐ แปรรูปสินค้าเกษตรเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และ การสนับสนุนการท่องเที่ยวเพราะนี้คือจุดแข็งของประเทศไทย” นายสุวัจน์ กล่าว

//////

ขอขอบคุณ ที่มา วีดีโอ : Workpoint News