นักโบราณคดีชี้ หลักฐานใหม่ไขปริศนาโคราช โครงกระดูกโบราณเป็นต้นกำเนิดคนไทย จุดประกายพัฒนาเมืองสู่ศูนย์กลางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมสุวัจน์ ลิปตพัลลภ 2 อาคาร 31 ชั้น 3
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เทศบาลนครนครราชสีมา ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา และสำนักงานโคราชจีโอพาร์ค ได้จัดเวทีสัมมนาเชิงวิชาการขึ้น ในหัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาเมืองนครราชสีมา หลังการขุดค้นพบแหล่งโบราณคดีสมัยเหล็ก บริเวณถนนพลล้าน เขตเทศบาลนครนครราชสีมา” โดยมีนายสุจิตต์ วงษ์เทศ นักโบราณคดีอิสระ เป็นผู้บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “นครราชสีมา ต้นทางชาวสยาม ความเป็นไทย” และการเสวนาเรื่อง “แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาการเรียนรู้และท่องเที่ยวเมืองนครราชสีมา” โดย นายทศพร ศรีสมาน ผอ.สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา, ดร.ทนงค์ศักดิ์ หาญวงษ์ นักโบราณคดีอิสระ, นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา, ผศ.พิทักษ์ชัย จัตุชัย นักประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, ผศ.ธีระ วรรธนะปกรณ์ อดีตประธานกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน และ ผศ.ดรประเทือง จินตสกุล ผอ.โคราชจีโอพาร์ค เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่ามกลางนักวิชาการ ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมฟังการเสวนาครั้งนี้กว่า 300 คน
โดยนายสุจิตต์ วงษ์เทศ นักโบราณคดีอิสระ ได้บรรยายพิเศษอย่างน่าสนใจว่า จากการขุดพบโครงกระดูกโบราณ ที่บริเวณโนนประตูพลล้าน ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ทำให้มีหลักฐานใหม่ไขประวัติศาสตร์ถึงต้นกำเนิดคนไทยในอดีตได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่า นครราชสีมา หรือที่เรียกกันติดปากว่า “โคราช” เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างยิ่ง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า เมืองโคราชมีอายุยาวนานกว่า 3,000 ปี โดยเริ่มต้นจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรม และค่อยๆ พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและอำนาจทางการเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาค
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในโคราช เช่น ฟอสซิลช้างหลายล้านปี หินตั้งบอกเขตอายุ 3,000 ปี ภาพเขียนสีบนเขาจันทน์งาม รวมถึงเมืองพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทหินพิมาย ล้วนบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมโบราณในพื้นที่นี้ นอกจากนี้ โคราชยังเป็นที่ตั้งของ “เมืองเสมา” ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของชาวสยามโบราณ และเชื่อมโยงกับอาณาจักรอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรขอม และอาณาจักรอยุธยา
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ชาวสยามในบริเวณลุ่มน้ำมูลและชี มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและอารยธรรมที่เป็นรากฐานของความเป็นไทยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรมการแต่งกาย หรือประเพณีต่างๆ ดังนั้น โคราชจึงเป็นเสมือนต้นกำเนิดของความเป็นไทย และเป็นแหล่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และศึกษา
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของโคราชยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในวงวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องต้นกำเนิดของคนไทยและความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต่างๆ ในอดีต ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์
ในปัจจุบัน โคราชยังคงเป็นเมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยี่ยมชมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองนี้ได้
การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดี ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมรดกทางวัฒนธรรมของโคราช และสร้างความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของคนโคราชได้อย่างยั่งยืน.