นครราชสีมา – วันนี้ (20 มิถุนายน 2568) นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึง “โรคไข้หมูดิบ” หรือเดิมชื่อ “โรคไข้หูดับ” ว่า “เป็นการตั้งชื่อโรคใหม่ ให้สอดคล้องกับสาเหตุเกิดโรค เพื่อให้ประชาชนตระหนักว่า โรคนี้มีหมูเป็นพาหะนำโรค โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) อยู่ในทางเดินหายใจของหมูและเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.ทางการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2.ทางการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือการสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย ซึ่งหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-14 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง
ซึ่งสถานการณ์ของโรคไข้หมูดิบ ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 19 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วย จำนวน 89 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 5 ราย เมื่อแยกเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยมากสุด 47 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1.80 ต่อประชากรแสนคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 3 รายแล้ว รองลงมาคือ จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 17 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1.59 ต่อประชากรแสนคน , จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 13 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.96 ต่อประชากรแสนคน และจังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 12 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.77 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยกลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี และกลุ่มอายุ 45-54 ปี ตามลำดับ
ซึ่งยังมีประชาชนกินหมูดิบ หรือหมูที่สุกๆ ดิบๆ แล้วป่วยและตายจากโรคไข้หมูดิบ หรือไข้หูดับอยู่เรื่อยๆ และนอกจากหมูดิบแล้ว ยังมีอาหารอื่นๆ ที่กินแล้วเสี่ยงตายไม่แพ้กัน เช่น ลาบเลือดดิบ ก้อยดิบ แหนมหมูดิบ ซึ่งนอกจากผู้ที่กินหมูดิบจะเสี่ยงติดเชื้อแล้ว พ่อครัว แม่ครัว และผู้ปรุงอาหารที่มีบาดแผลแล้วไปสัมผัสเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบๆ ที่มีเชื้อก็เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หมูดิบได้เช่นกัน ดังนั้น ขอย้ำเตือนประชาชน อย่ากินหมูดิบ หรือกินหมูที่บีบมะนาวเพราะเชื่อผิดๆ ว่าทำให้หมูสุก ส่วนอาหารปิ้งย่าง ควรแยกอุปกรณ์คีบหมูดิบและหมูสุกออกจากกัน เพราะหากติดเชื้อโรคไข้หมูดิบ อาจทำให้สูญเสียการได้ยิน หรือที่เรียกว่า “หูดับ” จนถึงขั้นหูหนวกถาวร ซึ่งในรายที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือมีโรคประจำตัว อาจเสียชีวิตได้
ดังนั้น ควรป้องกันตนเอง โดย.-
1.รับประทานเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น ผ่านความร้อนอย่างน้อย 60-70 องศาเซลเซียส ในเวลา 10 นาที
- อาหารปิ้งย่าง ควรใช้อุปกรณ์ในการคีบเนื้อหมูดิบและเนื้อหมูสุกแยกจากกัน และขอให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด”
- ไม่ควรรับประทานหมูดิบร่วมกับการดื่มสุรา
- เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาของหมู ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ
- ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ขณะทำงานควรสวมรองเท้าบูทยาง และสวมถุงมือ หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสหมูทุกครั้ง
- หากมีอาการป่วย สงสัยโรคไข้หูดับโดยมีไข้สูง ปวดศีรษะ ร่วมกับประวัติเสี่ยง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูดิบให้ทราบ หากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว ได้รับยาปฏิชีวนะเร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรงเนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422.
////