“สุวัจน์”มอบรถกู้ภัย ฮุก 31 มะเริง พร้อมถุงกู้ภัยโควิด ให้ชาวหนองระเวียง สู้โควิด

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 น. หอประชุมอบต.อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานมอบรถกู้ภัย ฮุก 31 มะเริง และมอบถุงกู้ภัยโควิด-19 ให้กลุ่มอสม.หนองระเวียง โดยมีนายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ส.จ.รัชฎา ใจกล้า และพี่น้องประชาชน เจ้าที่ อสม.ร่วมงานจำนวนมาก

นายสุวัจน์ กล่าว่าดีใจที่ได้เห็นถึงความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น ในการที่จะสนับสนุน ภารกิจด้านสาธารณสุข ได้มีการจัดกิจกรรม การวิ่งการกุศล โดยการหาทุนจากกิจกรรมกีฬา ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์ และฮุก 31 ถือว่าเป็นมูลนิธิ และเป็นองค์กรการกุศล โดยเฉพาะช่วงโควิด ได้มีการออกช่วยเหลือรับ-ส่งผู้ป่วย , ส่งอาหาร, ส่งยา ตามสถานที่กักตัว ทำให้ศูนย์ฅนคนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ได้เห็นถึงภารกิจเหล่านี้ จึงได้ร่วมสนับสนุนรถกู้ภัย ให้ฮุก 31 เพื่อเป็นเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น

ซึ่งขณะนี้บ้านเมืองเรามีอะไรหลายๆ อย่าง ที่ต้องช่วยกันไม่ว่าเรื่องโควิด เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสงคราม น้ำมัน แก๊สหุงต้ม ทุกอย่างแพง ซึ่งเป็นช่วงยากลำเข็ญที่สุดในช่วงหลาย 10 ปี ผมเคยอยู่และได้รับหน้าที่รัฐมนตรีหลายๆครั้ง อยู่กับพี่น้องประชาชนตั้งแต่ 2531 ก็ยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์ของบ้านเมืองสับซ้อนวุ่นวายซึ่ง 2 ปีกว่าก็ยังไม่จบ แต่ตอนนี้พวกเราฉีดวัคซีนกันแล้วผลกระทบของโควิดก็เบาบางลง

นายสุวัจน์ กล่าวว่าสมัยท่านพลเอกชาติชาย ชุณหะวัญ เป็นนายกฯ ช่วง พ.ศ.2531 เป็นผู้ผลักดันหลายๆโครงการในการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา ไม่ว่าจะเป็น 1.เรื่องการผลักดันการสร้างถนนตัด 4 เลน ได้เปิดประตูทางเศรษฐกิจและการลงทุนสู่อีสาน
2.การผลักดัน จัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อให้ลูกหลานเราได้มีที่ได้ศึกษา 3.การผลักดันให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้คนในพื้นที่โคราชได้มีงานทำจะได้ไม่ย้ายถิ่นฐาน และใช้ผลผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรในโคราช เข้าสู่กระบวนการผลิตแปรสินค้าเกษตรในพื้นที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม
4.การผลักดัน วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา และ5.การเดินท่อส่งน้ำจากเขื่อนลำตะคองมาโคราช เพื่อผลิตเป็นน้ำประปา ซึ่งยุคนั้นเศรษฐกิจดีมาก เรียกว่าเป็น ยุคทองของโคราช ที่ดินก็มีราคาทำให้โคราชมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ รองจากกรุงเทพ และเกิดเขตอุตสาหกรรมขึ้น

“ผมคิดว่าจุดที่จะเปลี่ยนแปลงให้โคราช กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง คือ ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ทำให้คนจะเดินทางมาโคราชมากขึ้น และอีกโครงการ คือ รถไฟความเร็วสูง 120-150/กม.ต่อชม. จะเป็นสิ่งทีดีมาก เพราะเป็นการเชื่อมโยงของการลงทุนที่จะเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว และต่อไปก็สามารถเชื่อมต่อไป จีน ไปยุโรป ได้ ถ้าเราสนับสนุนให้เกิดขึ้นเร็ว เมื่อไร คนจะเดินทางมา ซึ่งเป็นตัวที่ปรับให้เศรษฐกิจโคราช พลิกฟื้นตัวขึ้นเร็ว” นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า

โคราชยังมีจุดแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นฐานในด้านการท่องเที่ยว เพราะที่มีทั้งด้านเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี กีฬา เพลงโคราช มีของดีอาหาร ซึ่งสมัยนี้เรียกว่า SoftPower และต่อไปยังมีอีกอย่างที่ต้องรอการประกาศจากยูเนสโก เพื่อรับรองว่าเรามี “อุทยานธรณีโลก” หรือ โคราช จีโอพาร์ท ซึ่งได้ส่งเรื่องไปให้กับองค์กรยูเนสโก และในเดือนกันยายนนี้ จะประกาศผลว่าเรามีอุทยานธรณีโลก เพราะเราไปเจอพื้นที่ใน 5 อำเภอ ได้แก่ อ.สีคิ้ว อ.สูงเนิน อ.ขามทะเลสอ อ.เมือง อ.เฉลิมพระเกียรติ มีซากพวกไดโนเสาร์ ซากช้างโบราณ เจอซากไม้กลายเป็นหิน ซากดึกดำบรรพ์ ที่หาได้ยากมากซึ่งถ้าได้รับการประกาศ เมืองโคราชจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก จะมีนักท่องเที่ยวมากมายจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งเปรียบเหมือนเราจะมีมงกุฎ 3 มงกุฎ คือ 1.อุทยานป่าเขาใหญ่ 2.พื้นที่แหล่งสงวนชีวมณฑล ที่สะแกราช ปักธงชัย และ 3.อุทยานธรณีโลก (ถ้าได้ประกาศจากยูเนสโก)

นายสุวัจน์ บอกว่าเราต้องเอาแนวคิดของท่านพลเอกชาติ เอาอุตสาหกรรมมาแต่เน้นเรื่องอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร ตอนนี้ทั่วโลก เริ่มขาดแคลนอาหารซึ่งปัจจุบันประชากรมี 7000 ล้าน และเขาบอกว่าปี 2050 นี้อีก 28 ปี ประชากรจะเพิ่มเป็นอีกหมื่นล้านคน แล้วพื้นที่ก็เริ่มจะหายไป เนื่องจากโลกร้อน น้ำทะเลท่วม และต่อไปอาหารขาดแคลนราคาแพงขึ้น เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร เป็นแหล่งผลิตอาหารโลก เราสามารถนำวิกฤติของโลกมาปรับเป็นวิกฤตเป็นโอกาส เราต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรา ทำให้เมืองเราเป็นเมืองเกษตรและเป็นเมืองอาหารป้อนให้โลก เป็นเมืองท่องเที่ยว นี้คือ จุดเปลี่ยนของประเทศไทย

“ในอนาคตเราต้องสู้กับวิกฤติครั้งนี้กันต่อไป เรายังชนะไม่เด็ดขาด ตอนนี้เรายังเสมอๆ แต่เราสู้ต่อไปเราต้องชนะ เราต้องยกฐานะทางด้านสาธารณสุขให้มั่นคงและให้แข็งแข็งเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เป็นกำลังพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ”นายสุวัจน์ กล่าว

ด้าน นายอนุชา ศิริโภคานนท์ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีฯ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองระเวียง กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เนื่องด้วยมูลนิธิฯ ฮุก 31 มะเริง ได้มีการขาดแคลนรถที่จะใช้ดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งฮุก 31 ดูแล 3 ตำบล คือ ตำบลหนองระเวียง ตำบลมะเรือง ตำบล พะเนา ซึ่งมีการวิ่งทุกวันนี้ในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี เพราะเมีเกิดเหตุบ่อยๆ และด้วยบุคลากรและเครื่องอุปกรณ์ ทำให้ฮุก 31 ฮุกมะเริง มีการดำเนินการแบบจิตอาสา ไม่ได้มีรายรับ ซึ่งทางพวกเรา ได้ดำเนินการช่วยเหลือชีวิตพี่น้องประชาชนตั้งแต่ พ.ศ. 2555 จุดที่ตั้งอยู่หลังเขตอุตสาหกรรม สุรนารี

จึงได้มีการปรึกษาหารือ ในการที่จะดูแลผู้ป่วย ในเขตตำบลหนองระเวียง ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือ ของอปพร. ทั้ง 3 แห่ง และคณะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานแม่บ้าน ประธาน อสม. ได้มีการจัดกิจกรรม หนองระเวียงรานฟอเรน เพื่อหาเงินจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และได้มีการจำหน่ายเสื้อ ได้จำนวน 2,200 คน แต่เนื่องจากกิจกรรมไม่สามารถจัดได้ในช่วงสถานการณ์โควิด เราได้มีการประชุมและมีฉันทามติ ว่า ให้ได้นำเงิน จำนวน 300,000 บาท ไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ อปพร. ทั้ง 2 แห่ง ก็จะมีเครื่องผลิตออกซิเจน ถังออกซิเจน , เตียงสำหรับผู้ป่วย 7 หลัง , วิลแชร์ 5 คัน เพื่อให้โดยบริการให้ผู้ป่วยติดเตียงได้ยืมใช้ ในพื้นที่เขตรับผิดชอบของตำบลหนองระเวียง และเงินที่เหลือ 350,000 บาท ได้ลงความเห็นว่าจะซื้อรถกู้ภัย เพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ป่วยและผู้ประสบอุบัติเหตุในพื้นที่ หนองระเวียง , พะเนา , มะเริง

แต่เนื่องจากรถที่ซื้อมามีอุปกรณ์ไม่เพียงพอ และต้องมีการซ่อมบำรุงเพิ่มเติม ก็ได้รับการอนุเคราะห์จาก ฯพณฯท่านสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และท่าน สส.วัชรพล โตมรศักดิ์ ในการที่จะซ่อมบำรุงเพิ่มเติม จนแล้วเสร็จ รถกู้ภัยเพื่อมอบให้ ฮุก 31 มะเริง 400,000 บาท ที่จะได้มอบให้ ฮุก 31 ระเริง ได้นำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนต่อไป