“สุวัจน์”ชี้ อนาคตโคราช จะเป็นมหานครของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia )

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ณโรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปัจฉิมกถา ในงาน “สานพลังโคราชฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เดินหน้าสู่การเป็นมหานครแห่งภูมิภาคอีสาน” จัดโดยสื่ออีสานบิซ ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล, องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, เทศบาลนครนครราชสี,หอการค้าจังหวัดฯ,สภาอุตสาหกรรม และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

นายสุวัจน์ กล่าวว่าหลังโควิดรูปแบบการทำธุรกิจจะเปลี่ยนแปลง Technology จะเข้ามามากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับระยะห่าง ความปลอดภัย อนามัยสาธารณสุข สิ่งแวดล้อมนำไปสู่รูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ บางธุรกิจหายไป บางอย่างเหลือน้อย บางอย่างอยู่ได้แต่ต้องปรับตัว ต้องลงทุนใหม่กับระบบต่างๆ ในการทำงาน อาทิ E-commerce ระบบซื้อขายออนไลน์มาแทน,ระบบไร้สัมผัส, รถยนต์ไฟฟ้ารักษาสิ่งแวดล้อม, ยานยนต์ไร้คนขับ, ทำงานที่บ้าน (Work for Home)และ เงินสกุลดิจิตอล
ฉะนั้น New Normal มาแน่นอนทุกคนต้องปรับตัว ทุกองค์กรต้องปรับตัวถึงจะอยู่ได้ และการที่เราจะร่วมกันฟื้นเศรษฐกิจโคราชได้ต้องประกอบไปด้วย
1.ต้องช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจกันต่อไปจากมาตรการของรัฐบาลในเรื่องท่องเที่ยวเป็นหลัก เพราะลงสู่ปัญหาของผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้าโดยตรง ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น เศรษฐกิจประเทศยังไม่ฟื้น การลงทุนยังไม่มา การท่องเที่ยวก็จะเชื่อมโยงไปถึงการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม การฟื้นฟูและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว การโปรโมทเรื่องอาหาร ของกิน ของใช้ สินค้าพื้นเมือง OTOP เพื่อสร้างงานและรายได้ให้กับกลุ่มคนและผู้ประกอบการรากหญ้าอย่างต่อเนื่องทั่วถึงการจัดกิจกรรมชวนมาท่องเที่ยว มากิน มาช๊อปจับจ่ายใช้สอยในโคราช

“จุดแข็งโคราช มีศูนย์การค้า 3 แห่ง จัดมหกรรมโปรโมชั่นสินค้าราคาถูก มหกรรมอาหารอร่อย มหกรรมกีฬา ชวนคนไทยทั้งประเทศมาเที่ยวโคราช ก็จะสอดคล้องกับการกระตุ้นนโยบายรัฐ เราเที่ยวด้วยกัน, คนละครึ่ง,ยิ่งใช้ยิ่งได้”

2.เมื่อการลงทุนจากต่างชาติยังไม่มาก็ต้องลงทุนภาครัฐมาช่วยกระตุ้นสร้างงานต่างๆ โดยการก่อสร้างที่ใช้งบประมาณและแรงงานในจังหวัดนครราชสีมา เร่งรัดการก่อสร้างงานโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น มอเตอร์,รถไฟรางคู่,รถไฟความเร็วสูง เพื่อให้เกิดการลงทุน จ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ

3.ต้องสร้างโปรเจคใหม่ๆ ด้านการท่องเที่ยวในโคราช ให้เป็นบิ๊กโปรเจ็คให้เป็นแม็กเนต (Maxnet ) ในการท่องเที่ยว อย่างบทบาทของมหาวิทยาลัยราชภัฏฯ ที่ทำอยู่ เช่น Korat Geopark, อุทยานไดโนเสาร์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกแบบ Yellowstone,Mount Rushmore ของ USA เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมาโคราช

4.เตรียมพร้อมเรื่องทรัพยการมนุษย์ เพื่อรองรับการลงทุนการก่อสร้างและการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ หลังโควิด-19 โดยเฉพาะการจัดหลักสูตรนักศึกษาให้มีความพร้อมและสอดคล้องกับสถานการณ์หลังโควิด

5.การเตรียมพร้อมเป็นจังหวัดอัจฉริยะ ( Smart Province )ไม่ใช่ (Smart City )ของเมืองโคราชโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างความทันสมัยของเมืองรองรับการเติบโต คือ เป็นเมืองสิ่งแวดล้อมไร้สารพิษ PM 2.5 ไร้ฝุ่น ไร้ขยะ,Public Part,ระบบการจราจรอัจฉริยะ,พลังงานทดแทน,ระบบรองรับรถยนต์ไฟฟ้า,ระบบ Farming ที่ทำการ For ecast ได้เรื่องธรรมชาติและการตลาด การผลิต ปลอดภัย และระบบ 5 G ต่างๆ

6.อุตสาหกรรมสมัยใหม่ คือ อนาคตของเมืองโคราชหลังโควิด ความต้องการด้านสินค้าเกษตร อาหาร การส่งออกพุ่งสูงขึ้นมากสอดคล้องกับเศรษฐกิจวิถีใหม่ของโลก (BCG Economy) ประเทศไทยจะได้เปรียบถ้าเรานำ Soft Power มาพัฒนาประเทศ และโคราชด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เนื่องจากโคราชมีพื้นฐานการเกษตร ข้าว อ้อย มัน ยาง ข้าวโพด เราส่งออกเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ ใช้อุตสาหกรรมและ Technology และ Marketing จะเติบโตและสร้างงานอย่างมหาศาลสอดคล้องกับ BCG (เศรษฐกิจวิถีของโลก) และ Soft Power เรื่องวัฒนธรรมการท่องเที่ยวโคราชอุดมสมบูรณ์ เป็นจังหวะของประเทศและจังหวัดโคราชมากับสถานการณ์หลังโควิด

สุดท้าย 7.ต้องลดความสูญเสียเรื่องน้ำท่วม กระทบเศรษฐกิจอย่างมากต้องวางแผนระยะสั้น ระยะยาว มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ให้น้ำท่วมโคราชอีกเด็ดขาด และน้ำต้องไม่แล้งเพราะโคราชเป็นเมืองเกษตร

“ผมมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนเมืองและวิชาการ ว่าเรามีความพร้อมที่จะก้าวฝ่า post coved และเติบโตต่อไป ขอเพียงให้สร้างแผนและบูรณาการความร่วมมือ สร้างความต่อเนื่องนโยบาย สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนชาวโคราช ก็จะเกิดผล”สานพลังโคราชพ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ไปได้”

นายสุวัจน์ กล่าวว่าโคราชเป็นประตูสู่อีสาน เป็นประตูสู่อินโดจีน เป็นมหานครแห่งอีสานมานานแล้ว ตั้งแต่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้วางพื้นฐานการพัฒนาจนประสบความสำเร็จ อาทิ ถนน 4 เลนสระบุรี-โคราช,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี,นิคมอุตสาหกรรม,เปิดประตูสู่ท่าเรือน้ำลึกทางหลวง 304 และมีการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น มอเตอร์เวย์, รถไฟรางคู่,รถไฟความเร็วสูง, การขยายถนนมิตรภาพเป็น 10 เลน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มศักยภาพความโดดเด่นให้เมืองโคราชเป็นจุดต่อความเจริญไปยังเมื่องอื่นๆ ในภาคอีสาน

แต่ปัจจุบันบริบาทของโลกเปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะภูมิรัฐศาสตร์และการเชื่อมโยงต่างๆในด้านคมนาคมที่เป็นผลดีต่อภาคอีสาน โดยเฉพาะมหานครโคราช เพราะโคราชและภาคอีสานมีการเชื่อมโยงสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่ประกอบด้วย 6 ประเทศ ไทย จีนตอนใต้ ลาว กัมพูชา เวียดนาม พม่า, โครงการ One Belt One Road หรือ Belt and Road Initiative ของจีนที่ขยายการค้าการลงทุนผ่านเส้นทางสายไหมจากจีนสู่ยุโรป แอฟริกา ด้วยเส้นทางรถไฟและถนนสายสำคัญ
โครงการ IMTGT โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย ( Indonesia Malaysia Thailand Growth Triangle) และ RCEP ASEAN 10 ประเทศ บวกจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ข้อตกลงการค้ามีผล 1 มกราคมนี้ สินค้าส่งออกเกือบ 30,000 รายการได้รับข้อยกเว้น

“จะเห็นว่าภูมิรัฐศาสตร์ที่โอบล้อมประเทศไทยและภาคอีสานและโคราชทำให้เราเป็นโลเคชั่นที่เป็นสากลทั้งด้านพรหมแดนและการค้า การลงทุน การติดต่อเชื่อมโยงไปกับกลุ่มประเทศต่างๆทั่วโลก”

โดยเฉพาะ Belt and Road Initiative ของจีนที่จะเชื่อมเข้าสู่ประเทศไทยผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ-โคราช ต่อขึ้นไปตอนเหนือของอีสาน เพื่อเชื่อมโยงกับจีนและลาว ทำให้อีสานเชือมต่อโครงการเส้นทางสายไหม
Belt and Road Initiative สู่ยุโรป รัสเซีย แอฟริกา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวด้านการค้า การลงทุน การขนส่ง การท่องเที่ยวและระบบโลจิสติกส์ต่างๆ มหาศาลต่ออีสานต่อประเทศไทย

ฉะนั้น โอกาสโคราชใน 10-20 ปี ข้างหน้า ถ้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องและการมีผลของข้อตกลงการค้าต่างๆ และความสำเร็จของ Belt and Road Initiative ของจีน จะทำให้ภาคอีสานโดยเฉพาะโคราช จะเป็นมหานครการค้าการลงทุนและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างแน่นอน

“โคราชจะไม่ใช่มหานครของอีสานเท่านั้น จะเป็นมหานครของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) คงต้องใช้เวลาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง IMTGT Belt and Road Initiative ได้สำเร็จ เป็นงานที่พวกเราต้องผลักดันกันต่อไป”นายสุวัจน์ กล่าว