“สุวัจน์” มองโคราช มีโอกาสขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คมนาคมพร้อม ท่องเที่ยวติดระดับโลก สินค้าเกษตรเป็นครัวโลก
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เวลา 10.30 น.ที่ห้องโคราชฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานเปิดงานวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอเมืองนครราชสีมา โดยมีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายประเสริฐ บุญชัยสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา พรรคชาติพัฒนา นายวิสูตร ชัชวาลวงศ์ ปลัดจังหวัดนครราชสีมา และนายศักดิ์ชัย ขาติพุดซา นายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ.เมืองนครราชสีมา มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 777 คน 24 ตำบล 235 หมู่บ้าน
นายสุวัจน์ กล่าวเปิดงานว่าวันนี้มาขอบพระคุณ ท่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น ของจังหวัดนครราชสีมา ทุกคนท่านถือว่าเป็นกำลังหลักของโคราช และในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด ทุกท่านก็ได้เป็นผู้นำนโยบายของรัฐบาล นโยบายของสาธารณสุข ไปบอกกล่าวกับพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือ และที่จังหวัดนครราชสีมาก็ประสบความสำเร็จ ในการต่อสู้กับเรื่องโควิด ที่ผ่านมาต้องขอขอบพระคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทกันในเรื่องเกี่ยวกับวิกฤตโควิด
“วันนี้ก็ได้ฝากกับทุกท่านว่าเราคงไม่ได้จบกันที่โควิด ก็ต้องฝ่าวิกฤตโควิดกันต่อไปกันอีก 2 ปี 3 ปี ก็ขอให้ทุกท่านได้ช่วยกัน เป็นกำลังใจและบอกกล่าวในการช่วยเหลือทางรัฐบาล ว่ามีช่องทางอะไรบ้าง ช่องทางที่เราจะร่วมมือกันสร้างเศรษฐกิจของคนไทย เพราะในช่วงนี้คนไทยก็ต้อง เหมือนกับว่า ไทยเที่ยวไทย ไทยใช้ของไทย ไทยลงทุนกันในประเทศไทย หลายๆอย่าง ต้องมีความร่วมมือกัน อย่างเช่น นโยบายเรื่อง “เที่ยวด้วยกัน” ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่ดีที่ต้องให้การยอมรับและร่วมมือ” นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า
ในขณะเดียวกันผมก็ให้กำลังใจทุกคน ในการฝ่าวิกฤต อาจจะสัก 2 ปี 3 ปี ทุกอย่างก็อาจจะกลับสู่ภาวะปกติ เราก็ต้องหานิวนอร์มอล ของเศรษฐกิจ อย่างเช่น นครราชสีมา มีโครงการลงทุนภาครัฐใหญ่อีก 2 -3 ปี ก็จะเสร็จคงจะเสร็จพร้อมกับวิกฤตโควิด เศรษฐกิจคลี่คลายไปโดยดีโคราชมีรถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ อีกหน่อยใครจะไปใครจะมาโคราช นักลงทุน นักท่องเที่ยว ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว จะมารถไฟก็ได้ เครื่องบินก็ได้ หรือว่าจะมารถยนต์ก็ได้ ฉะนั้น ต่อไปโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐลงทุนเอาไว้ก็จะเสร็จพอดีกับวิกฤต คลี่คลาย 2 -3 ปีข้างหน้า ฉะนั้น เราก็ต้องหาตัวตนของเรา เตรียมการที่จะพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ GDP ของประเทศอยู่แล้ว ซึ่งผมก็บอกว่าจุดแข็งของประเทศไทยที่เห็นแน่ๆ หลังโควิด ก็คือเป็นเมืองน่าอยู่ของคนทั้งโลก เวลาพูดถึงประเทศไทย ก็บอกว่า 1.เมืองไทยเป็นเมืองน่าอยู่ 2.เมืองไทยเป็นเมืองอู่ข้าว อู่น้ำของโลก สินค้าเกษตรต่างๆ เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว ฉะนั้น ทั้ง 3 องค์ประกอบนั้น ถ้าเมืองโคราชได้มียุทธศาสตร์ ในการทำความเข้าใจยุทธศาสตร์ที่จะนำไปปฏิบัติ โคราชมีความพร้อม เพราะว่าสินค้าทางเกษตรที่หลักๆ ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด โคราชถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของภาคการผลิตของสินค้าทางการเกษตร เหมือนเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ ของประเทศอยู่แล้ว
สองเมืองโคราชก็เป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่แล้ว มีเขาใหญ่ มีวังน้ำเขียว และก็มีสถานที่ท่องเที่ยว มีโบราณคดี มีสินค้าโอทอป มีอะไรมากมาย และสาม เมืองโคราช เป็นเมืองน่าอยู่ เขาใหญ่เป็นเมืองที่มีโอโซน วังน้ำเขียว เป็นเมืองน่าอยู่เป็นเมืองเกษตร หรือเป็นเมืองท่องเที่ยวของโคราชนั้น ก็สอดคล้องกับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย ในการเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ ในเรื่องของความเป็น Second home , Second Office ของโลก เมืองท่องเที่ยวของโลก เป็นเมืองอาหารป้อนโลก
“ผมได้บอกให้ทุกท่านได้มีกำลังใจกัน และก็ช่วยกันทำความเข้าใจ สร้างกำลังที่จะพัฒนา สร้างยุคทองทางด้านเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งหนึ่งหลังจากอดีตมียุคทองของเศรษฐกิจของโคราช เกิดขึ้นหลายๆครั้ง สมัยยุค พลเอกชาติชาย และเมื่อรัฐบาลได้ลงทุนรถไฟความเร็วสูง รถไฟมอเตอร์เวย์ สนามบินต่างๆ ลงทุนให้กับจังหวัดนครราชสีมา ตั้งหลายแสนล้าน ฉะนั้น ต้องใช้โอกาสในการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลได้ทำไว้แล้ว ให้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจโคราชต่อไป” นายสุวัจน์ กล่าว
ส่วนประเด็นเรื่องแก้ รธน.นั้น นายสุวัจน์ มองว่า มีความความชัดเจนบ้างแล้วทุกฝ่ายให้ความเห็นตรงกัน มีความเห็นพ้องต้องกันว่าควรที่จะได้แก้ รธน. ไม่ว่าจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือนโยบาจากคณะกรรมาธิการรวิสามัญที่พิจารณาในการแก้ไข หรือจากพรรคฝ่ายค้าน พรรครัฐบาล และวุฒิสมาชิก ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้
ฉะนั้น ตอนนี้ตนคิดว่าอาจจะมีความเห็นต่างกันบ้างถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะเรื่องเดียวกันอาจจะเห็นไม่ตรงกัน และมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ แต่ที่สุดคงต้องใช้เสียงข้างมากว่าควรจะแก้ในประเด็นไหนวิธีการอย่างไร
ส่วนกำหนดเวลารัฐบาลเหลือ 2 ปีกว่าจะทันหรือไม่หรือเป็นการยื้อไปนั้น ตนคิดว่า เวลาก็มีอยู่เท่านี้
ฉะนั้นเรื่องเวลาก็ต้องบริหารกัน บางอย่างอาจจะทันสมัยนี้ บางอย่างอาจจะไม่ทันสมัยนี้ก็ต้องแล้วแต่จังหวะ ฉะนั้นเวลามีค่า และอะไรที่เราเห็นสามารถทำได้ทันก็ต้องอาศัยความร่วมมือกัน
ส่วนการแก้ไข รธน.มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ จะทำให้อายุรัฐบาลครบเทอมหรือเปล่านั้น นายสุวัจน์ฯ หัวเราะก่อนกล่าวว่า ตนก็ไม่ทราบ คือตอนนี้การเมืองเป็นเรื่องที่บางทีก็คาดการณ์อยาก ตนคิดว่า เหมือนขับรถออกจากบ้าน บางทีเกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัวก็ได้ หรืออาจจะเรียบร้อยไม่มีอะไรก็ได้ ยิ่งตอนนี้มีการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ผมเชื่อว่าตอนนี้อารมณ์ของสังคมให้ความสำคัญเรื่องโควิด และหลังโควิดคือเรื่องเศรษฐกิจ ตอนนี้ทุกคนกลัวตกงาน เรื่องปากท้อง ถ้าเรื่องเศรษฐกิจไปได้ด้วยความเรียบร้อยพี่น้องประชาชนก็ต้องสนับสนุนให้รัฐบาลได้ทำงานต่อจนครบเทอม” นายสุวัจน์ฯ กล่าว
ด้านนายศักดิ์ชัย ชาติพุดซา นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.นครราชสีมา กล่าว่าในวันกำนันผู้ใหญ่บ้านก็อยากถือโอกาสนี้เรียกเรียกร้องกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวชุมนุม โดยเฉพาะเรื่องการจาบจ้วงสถาบัน ตนคิดว่าเกี่ยวกับที่นักศึกษาเคลื่อนไหวที่อาจจะมีการจาบจ้วงสถาบัน ตนก็อยากให้หยุด เราเอาเหตุผลในการกระทำ โดยเฉพาะนักศึกษาทุกท่านทำอยู่ในเหตุผลและในกรอบ รวมรวมทั้งกลุ่มต่างๆ ก็ไม่อยากให้มีการจาบจ้วงเรื่องสถาบันของพวกเรา และการที่ท่านจะเรียกร้องแก้ รธน.หรือเรื่องอะไรก็ตามจากรัฐบาลก็เรียกร้องไปตามสิทธิของท่าน แต่ขอย้ำว่าให้อยู่ในกรอบ
ส่วนเรื่องบ้านเมืองวุ่นวายอะไรนั้น ตรงนี้ตนอยากให้นักศึกษาถ้าเราอยู่ในกรอบจะเรียกร้องต่างๆ ก็อยู่ในเหตุผลและดุลยพินิจ ซึ่งนักศึกษาทุกคนก็มีคุณสมบัติ วัยวุฒิ มีการศึกษาสูง การพูดจาอะไรเราอยู่ในกรอบจะเรียกร้องต่างๆ ก็อยู่ในเหตุผลและดุลยพินิจ โดยเฉพาะเรื่องการจาบจ้วงสถาบันก็ไม่อยากจะให้นักศึกษาทำอย่างนี้”นายศักดิ์ชัยฯ กล่าว