“สุวัจน์” เปิดงาน KU RUN สนามที่ 5 “วิ่งชวนฝัน ลั่นกำแพงแสน”ชิงถ้วยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ย้ำกีฬาสร้างความรัก สามัคคี

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เวลา 05.50 น.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นิสิตเก่า KU 33 ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการโครงการเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพ ( KU RUN) ครั้งที่ 1 วิ่งลั่นทุ่ง เป็นประธานเปิดการแข่งขัน KU RUN สนามที่ 5 สนามสุดท้าย “วิ่งชวนฝัน ลั่นกำแพงแสน”ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขันตติยราชนารี โดยมี ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นิสิตเก่า KU รุ่น 46 ประธานอำนวยการโครงการเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพฯ นายนิพนธ์ ลิ้มแหลมทอง นายกสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นิสิตเก่า KU 34 ประธานคณะกรรมการดำเนินการโครงการเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพฯ และนักวิ่งจำนวนกว่า 5,000 คน รวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน KU RUN ครั้งที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

นายสุวัจน์ กล่าวเปิดงานว่าวันนี้เป็นการวิ่งสนามสุดท้าย ของรายการวิ่ง KU-RUN หมายความว่า มหาวิทยาลัยเกษตร และสมาคมศิษย์เก่าฯ มหาวิทยาลัยรุ่น 70 กว่าทั่วประเทศ มาร่วมกันวิ่ง ประกอบด้วย 5 สนาม เพราะมหาวิทยาลัยเกษตร มี Campus ทั้งหมด 5 Campus เป็น 4 Campus ที่เปิดแล้ว อีก 1 Campus อยู่ระหว่างการจัดตั้ง Campus บางเขน , Campus สกลนคร , Campus กำแพงแสน , Campus ศรีราชา , และระหว่างการจัดตั้งที่สุพรรณบุรี ก็ถือเลยมีวิ่ง 5 ครั้ง ไปวิ่งในแต่ละ Campus ซึ่งแต่ละวิทยาเขต Campus ก็จะมีความแตกต่างกัน อย่างที่บางเขน เราจะเรียกว่า “วิ่งลั่นทุ่ง” เพราะสมัยก่อนถ้าพูดถึงบางเขน ก็จะเหมือนว่าไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ ไกล เค้าเรียกว่า “ทุ่งบางเขน” สมัยก่อนเกษตรจะมีชื่อเสียงเรื่อง รักบี้ จากทุ่งบางเขน นักแตะจากทุ่งบางเขน ส่วนศรีราชาก็อยู่ติดกับมหาสมุทร ก็เป็น”วิ่งอ่าว”พอมาที่นี้เป็นสนามสุดท้าย เราก็เรียกว่า “วิ่งชวนฝัน” ทำไม่วิ่งชวนฝัน เพราะว่าบุคลิกที่กำแพงแสนมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ สีชมพู หมดเลย สวยงามมากเพียงแต่ว่า เรามาจัดติดโควิด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการวิ่งภายใต้ความสวยงามของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ เสื้อที่ใส่วิ่งจะออกแบบให้เป็นสีชมพู ซึ่งแต่ละสนามที่จัดจะมีนักวิ่งประมาณ 5,000 คน นำรายได้จากการวิ่ง 5 สนามไปทำทุนการศึกษาให้กับนิสิตนักศึกษา และก็เอาไว้จัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจัดปีนี้เป็นปีแรกก็คิดว่าถ้ากิจกรรมดีๆ อย่างนี้สร้างความรักความสามัคคี ศิษย์เก่ามาร่วมพลังกัน แล้วมารำลึกความหลังกัน ผมคิดว่า น่าจะมีการจัดทุกๆปี ต่อไปเพราะวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนิสิตเก่า นิสิตปัจจุบัน ครอบครัวนิสิตเก่า ประชาชนและสังคมให้เห็นคุณค่าการออกกำลังกาย การอนุรักษ์ธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม
นายสุวัจน์ กล่าวว่าผมเป็นเกษตรรุ่น 33 แต่วิศวะรุ่น 29 ไม่ตรงกันเพราะว่าพอเปิดมหาวิทยาลัย 4 ปี แล้วถึงจะถ่ายโอนโรงเรียนช่างชลประทานให้เข้ามาคณะวิศวะ จึงทำให้ตัวเลขไม่ตรงกัน สมัยก่อน เรียนที่บางเขน ก็จะใหญ่มาก มีประเพณีรับน้อง ทุกคนต้องมีจักรยาน คนละ 1 คัน เพราะใหญ่ พอย้ายห้องเรียนก็ต้องขี่จักรยานไปที่ห้องเรียนกัน ก็สนุกกัน มีกิจกรรมการกีฬาเป็นหลัก สมัยก่อนทุกคนจะไปดู รักบี้ เหมือนต่างประเทศ ฉะนั้น สมัยก่อนจะเป็นการเรียนการสอนที่ทุกคนจะใกล้ชิดกัน เพราะจะอยู่หอพักด้วยกันหมด ขี่จักรยานก็เป็นกลุ่ม ไปเชียร์ รักบี้ กันเป็นกลุ่ม และมีเหตุการณ์หลายๆอย่าง ในช่วงนั้นที่เราเป็นนิสิต
“ถ้าถามว่ามีอะไรที่ประทับใจ สมัยนั้นมีความใกล้ชิดกัน มีสปิริต ทำให้สามารถเชื่อมโยง ถึงแม้จะจบกันหลายปีก็มีความผูกพันกัน พอมีการจัดงานก็จะมากันเยอะแยะ เจอกันมีความเป็นพี่น้องกัน ทำให้เกิดความหนักแน่นของความเป็นศิษย์เก่า พอเรากระจายกันไปทำงานก็จะรู้จักกัน ร่วมไม้ร่วมมือกัน ที่สำคัญ ผมพบกับคุณติ้ง พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ เค้าก็เรียนเกษตร พร้อมกัน KU 33 ด้วยกัน แต่ผมวิศวะ แต่คุณติ้ง จบวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี เรียนคบกัน พอจบผมก็ไปเรียนต่อเมืองนอก คุณติ้ง ไปเรียนต่อที่ จุฬาฯ และไปเป็นอาจารย์สอนแพทย์ ที่วิทยาลัยแพทย์ กองทัพบก ก็เลยมียศเป็นทหาร ผมก็เรียนวิศวะประกอบอาชีพ แล้วไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน ที่เกษตรให้ความรู้ ความรัก และสร้างผมให้เป็นคนรักกีฬา” นายสุวัจน์ กล่าว