อธิการบดีราชภัฏโคราช ชี้ “ครม.อุ๊งอิ๊ง 2” ปรับตามโควตาทางการเมือง ถือเป็นภาพหลอนการเมืองไทย ที่คาดหวังอะไรไม่ได้ ขณะที่ศาล รธน.สั่ง “อุ๊งอิ๊ง” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ส่งผลความเชื่อมั่นในรัฐบาลลดลงมหาศาล

 นครราชสีมา-ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 ในวันนี้(1 กรกฎาคม 2568) รับคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงมีพฤติกรรมบ่งบอกเป็นคนทรยศขายชาติ ทำให้กระทบอธิปไตยไทย กองทัพ ประชาชน ไว้พิจารณาวินิจฉัย และมติ 7-2 สั่งให้ น.ส.แพทองธารฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมานั้น

 รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “สำหรับปมคลิปเสียงที่หลุดออกมา ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลลดลง อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2  สั่งให้นายกรัฐมนตรีงดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลลดลงอย่างมหาศาล ซึ่งในการทำงานได้มีการแต่งตั้ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี มารักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และจะนำ ครม.ชุดใหม่ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯ แทน น.ส.แพททองธารฯ  ดังนั้น การขับเคลื่อนงานบริหารประเทศ ก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีรักษาการแม้โดยหลักจะมีอำนาจในการทำงานทุกอย่าง แต่โดยมารยาทการทำงาน ก็จะไม่เหมือนนายกรัฐมนตรีตัวจริง  แต่ก็เข้าใจได้ว่า กลไกการแต่งตั้ง ครม.อุ๊งอิ๊ง 2  น.ส.แพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรมด้วย ก็ยังทำให้ น.ส.แพทองธารฯ มีพื้นที่ในการทำงานร่วมกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ แต่ในการประชุม ครม.อาจจะอยู่ในฐานะรัฐมนตรีโดยนิตินัย  แต่โดยพฤตินัยก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ แม้จะมีนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ก็ตาม  ซึ่งทำให้ยังสามารถขับเคลื่อนงานได้ แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2 ให้ น.ส.แพทองธารฯ งดปฏิบัติหน้าที่นั้น  เมื่อดูทิศทางกระแสเสียงที่ออกมาจากหลายๆ ส่วนแล้ว  สถานการณ์ของ น.ส.แพทองธารฯตอนนี้ พูดได้แค่ว่า “น่าเป็นห่วง”

 ส่วนหน้าตาของ  “ครม.อุ๊งอิ๊ง 2” ท่ามกลางสภาพทางการเมืองที่มีข้อจำกัด เนื่องจากผลการเลือกตั้งฯ ที่มีมาแต่เดิม และพรรคร่วมรัฐบาลขนาดกลาง อย่างพรรคภูมิใจไทย ได้ถอนตัวออกไป   ก็ทำให้การปรับ ครม.ใหม่ ออกมาได้เท่านี้ เพราะรัฐบาลไม่กล้าหาญมากพอที่จะแต่งตั้งรัฐมนตรีบนพื้นฐานความวิกฤติของประเทศ ทั้งวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากวิกฤติโลก และวิกฤติด้านความมั่นคงที่กำลังมีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน มันเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติหลายวิกฤติ ถ้ารัฐบาลกล้าที่จะตัดสินใจดึงคนที่มีความเหมาะสม มีความรู้ความสามารถมากพอมาช่วยแก้วิกฤติต่างๆ เหล่านี้  ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆ ผ่านพ้นวิกฤติไปได้โดยเร็ว แต่รัฐบาลก็คงทำไม่ได้  เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงน้อย จึงทำได้แค่จัดสรรรัฐมนตรีตามโควต้าของพรรคการเมือง ซึ่งหน้าตาของ “ครม.อุ๊งอิ๊ง 2” นี้ ตนอมองว่า “คาดหวังอะไรไม่ได้ว่าจะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหา  คงทำได้แค่ประคับประคองรอวันล่มสลาย” เพราะ ครม.ใหม่ที่ปรับเข้ามาในภาพรวม ก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร ยังอยู่ในวังวนเดิมๆ ยังมองไม่เห็นว่า จะมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่จะนำพาประเทศให้รอดพ้นวิกฤติที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบได้  ตนมองว่า เป็นการประคองเพื่อให้การเมืองอยู่ต่อไปได้เท่านั้นเอง แต่จะคาดหวังให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาของประเทศคงไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีแต่ละคนที่ปรับใหม่เข้ามา ไม่มีความรู้ความสามารถ และไม่มีประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ต่อการบริหารประเทศของแต่ละกระทรวง ทั้งๆ ที่มีคนใหม่หลายคนเข้ามา แต่ก็ไม่มีประสบการณ์การบริหารกระทรวงที่จะได้เข้าไปดูแล ในขณะที่บางคนหน้าเก่า แต่ถูกโยกไปกระทรวงอื่นที่ไม่ตรงกับความสามารถ  เป็นการปรับ ครม.แบบทุเรศทุรัง เหมือนเด็กเล่นขายของ จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นการแบ่ง “รัฐมนตรีตามโควตาทางการเมือง” ซึ่งถือเป็นภาพหลอนทางการเมืองของประเทศไทยที่ทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนา เพราะฉะนั้นโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่นี้พึ่งพาอะไรไม่ได้  เพราะนายกรัฐมนตรีก็ถูกสั่งงดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนรัฐมนตรีที่ปรับใหม่ก็อีรุงตุงนังไปหมด ก็คงประคับประคองกันไปรอวันล่มสลาย คาดหวังอะไรไม่ได้

 สำหรับกระทรวงสำคัญในช่วงนี้ อย่างเช่น กระทรวงกลาโหม มีการแงตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการออกมาแล้ว แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ยังรอใครบางคนเข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกๆ และสะท้อนให้เห็นถึงกลไกทางทหารจะมีอิทธิพลต่อรัฐบาลชุดนี้ จะเป็นการประนีประนอมระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือฝ่ายทหารกับพรรคเพื่อไทย เห็นได้อย่างัดเจน ส่วนกระทรวงมหาดไทย ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัยฯ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามโผ แต่ยังให้คนเดิมคงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ซึ่งการที่ให้นายภูมิธรรมฯ มากุมบังเหียนกระทรวงนี้ ก็เพื่อจะคุมอำนาจเดิมจากพรรคภูมิใจไทยกลับมาอยู่ในมือ ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการประจำทั้งหลายก็คงร้อนๆ หนาวๆ ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเข้ามาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาตินั้น ยังไม่แน่ชัด แต่ตนมองว่า น่าจะเข้ามาเพื่อกระชับอำนาจ ชิงความได้เปรียบเพื่อเตรียมการเลือกตั้งฯ  คาดหวังไม่ได้  ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ยังเป็นนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการฯ คนเดิม ที่ไม่ได้ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่แค่เรื่องประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผลงานไม่โดดเด่น

 นอกจากนี้ ยังมีกระทรวงการต่างประเทศที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นกระทรวงที่ต้องใช้ฝีไม้ลายมือ ในการทำให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจประเทศไทย เพราะกระทรวงนี้เป็นเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียวที่เหลืออยู่สำหรับประเทศไทยในขณะนี้  ซึ่งนายสรวงศ์ เทียนทอง ก็ไม่ได้มีผลงานโดดเด่น  ในเมื่อหน้าตา ครม.ใหม่ออกมาแบบนี้ ก็ต้องรอดูกันต่อไป” รศ.ดร.อดิศรฯ กล่าว .

/////////////ประสิทธิ์  ตั้งประเสริฐ / นครราชสีมา