‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ ชี้ หลังเลือกตั้ง โพสต์โควิด สร้างประเทศยุคใหม่ สร้างแพลตฟอร์มใหม่ๆ ไปสู่เศรษฐกิจ ใหม่

นายสุวัจน์ ลิปตพลัลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรีมองเสถียรภาพ การเมืองในช่วง 1ปี สุดท้ายของรัฐบาล แบบฟันธง ว่านโยบายและชื่อนายกรัฐมนตรี คือ ดัชนีชี้ขาดผลการ เลือกตั้งใหญ่ และยังวิเคราะห์ว่า หลังเลือกตั้งโพสต์โควิด สร้างประเทศยุคใหม่ สร้างแพลตฟอร์มใหม่ๆ ไปสู่ เศรษฐกิจใหม่ ในบทสัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ฉบับที่ 16026 หน้า 2 โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

• มองการเลือกตั้งซ่อม 2 เขตภาคใต้ กับเขตหลักสี่-จตุจักรในกทม.อย่างไร การเลือกตั้งซ่อมก็เหมือนแข่งเทนทิส ก่อนแกรนด์สแลมก็จะมีปรีซีซั่นอุ่นเครื่องก่อน รายการใหญ่ ถือเป็นการอุ่น เครื่องในช่วง 1 ปี ก่อนการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นของพรรคการเมือง ไว้ใช้ทดสอบความนิยม หรือนโยบาย ต่างๆ เพียงแต่ว่าที่ชุมพร สงขลา และหลักสี่ ที่กําลังเกิดขึ้น ผมคิดว่ามีความแตกต่างกันในแง่ของผลเลือกตั้ง ซ่อมชุมพร สงขลา เป็นการแข่งกันเองของพรรค การเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นการป้องกันแชมป์ ใครแพ้ ใครชนะ เสียงไม่ไปไหน เสถียรภาพของรัฐบาลยังอยู่ เป็นเรื่องความนิยมของพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้ง นั้นๆ

แต่ที่หลักสี่ไม่ใช่ มีภาพเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคฝ่ายค้านกับรัฐบาลชัดเจน ที่สําคัญ เป็นที่นั่งในเมืองหลวง ที่ฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการรักษาไว้แล้ว เพราะ กทม.ถือเป็นตัวชี้วัดชี้ขาดในการเลือกตั้งใหญ่ทุกครั้ง จากจํานวนที่ นั่งที่มีจํานานมาก หรือกลุ่มผู้ใช้สิทธิที่มีความหลากหลายตั้งแต่ นักวิชาการ จนกระทั่งประชาชนรากหญ้า ฉะนั้น ผลของ กทม.จะมีนัยยะสําคัญที่สะท้อนถึง ความคิดของประชาชนได้ใกล้เคียงข้อเท็จจริง ให้แต่ละพรรคไปปรับ กลยุทธ์สําหรับการเลือกตั้งใหญ่ ดังนั้น ที่หลักสี่จึงน่าจับตาดู กึ่งๆ เหมือนปรีซีซั่น สอบถามความรู้สึกนึกคิดของ ประชาชนระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล

• จบศึกเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร สงขลา มีรอยร้าวใหญ่ของพรรคร่วมรัฐบาลกลับมาด้วย แพ้ชนะก็อยากให้เหมือนนักกีฬา จบก็จับมือกัน เพราะความสามัคคีความเหนียวแน่น ระหว่างพรรคการเมือง ด้วยกันถือว่าสําคัญ เสถียรภาพภายในรัฐบาลแต่ละพรรคแต่ต้องช่วยกัน ดูแล โดยเฉพาะพรรคที่เป็นแกนนํา เพราะพรรคแกนนําถือว่าเป็นกระดูกสันหลังใหญ่ของพรรคร่วมรัฐบาล ฉะนั้น ถ้ามีปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจกัน จำเป็นต้องให้ความสําคัญลําดับต้นๆ รีบจัดการ แก้ไข เพราะถ้าพรรคแกนนํามีปัญหาก็อาจกระทบต่อ เสถียรภาพโดยรวมของรัฐบาลได้

• ล่าสุด เกิดปัญหาใหญ่ภายในของพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนํารัฐบาลเสียเอง
ผมคิดว่าสถานการณ์ปีที่ 4 ของรัฐบาลมันเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างจะบอบบาง มันเป็น สถานการณ์ที่ handle with care เหมือนเวลาเรายกกล่องก็จะมีเขียนคําเตือนตลอดว่า ควรยก ด้วยความระมัดระวัง วันนี้รัฐบาล ต้องการความนิ่งมาแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง เพราะทุกอย่างที่ เกี่ยวเนื่องกับวิกฤตโควิด ถ้าการเมืองไม่มี เสถียรภาพก็จะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ไปโดยปริยาย อย่าง ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เวทีสําหรับถกหาแนวทาง หา วิธีแก้ปัญหา แต่ภาพวันนี้ประชุมไม่ได้ องค์ ไม่ครบก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว แค่เรื่องพื้นฐานยังทําไม่ได้ นอกจาก กระทบความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังกระทบต่อกลไกมาตรการต่างๆ กระทบต่อแนวร่วมที่รัฐบาลจะ ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วย

ดังนั้น วันนี้เสถียรภาพเป็นเรื่องสําคัญ สําหรับปีที่ 4 ในการอยู่ครบเทอม เพราะต้องยอมรับปัญหาพื้นฐานของ รัฐบาลนี้ตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง อยู่ที่มาร์จิ้นของเสียงฝ่ายรัฐบาลค่อนข้างแคบ ไม่ได้แตกต่างกับฝ่ายค้านมากนัก แม้ ต่อมาจะมีเรื่องยุบพรรค ทําให้ได้เสียงมาเพิ่ม แต่ปัญหานี้ก็ยังคงอยู่ และกระทบต่อเรื่องการประชุมสภามาโดย ตลอด ผมเคยพูดไว้ จากประสบการณ์ที่อยู่การเมืองมา ถ้า 500 ตัวเลขที่เหมาะสมสําหรับเสถียรภาพรัฐบาล ดี ต่อประชาธิปไตย อย่างน้อย ต้องมี 300 เผื่อไว้ซัก 50 คน เพราะธรรมชาติของ ส.ส.บางทีก็เยี่ยมชาวบ้าน ป่วยบ้าง มีประชุม กมธ.บ้าง ดังนั้น ตัวเลขก็มีความสําคัญ แต่ขณะนี้ตัวเลขของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มาก นัก อย่างที่ผมบอก ถ้ามีปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจกันก็ต้องรีบจัดการแก้ไข

• นอกจากเรื่องเสถียรภาพ อีก 1 ปีรัฐบาลควรโฟกัสเรื่องใดเป็นพิเศษ
ถ้าไม่มีเรื่องเสถียรภาพ ผมคิดว่ารัฐบาลต้องโฟกัสเรื่องเศรษฐกิจ แม้สถานการณ์โควิดจะมี โอมิครอนที่ว่ากันว่า ระบาดง่าย แต่เมื่อดูตัวเลขผู้ติดเชื้อก็พบว่ายังไม่ได้สูงเท่ากับเมื่อตอนระบาด ใหม่ๆ เช่นเดียวกับอัตราการเสีย ชีวิตก็ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นผลจากความคุ้นชินของประชาชนในการดูแลตัวเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะ ห่างกันเป็นมาตรฐาน รวมไปถึงภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น สถานการณ์ แบบนี้มันถือว่าเป็นบวกกับประเทศไทยในเรื่องการควบคุมโควิด เพราะเมื่อโควิดคุมได้ จะทําให้มาตรการทาง เศรษฐกิจแรงๆ ดําเนินการไปได้ โดยไม่มีอะไรมารบกวนความเชื่อมั่น เมื่อวันนี้สมดุลการบริหารในเรื่องเศรษฐกิจ และมุมสาธารณสุขได้ รัฐบาลต้องใช้โอกาสนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นจากภายใน อย่างการท่องเที่ยวมีโครงการเรา เที่ยวด้วยกันก็ต้องทําต่อไป ให้คนไทย 60 ล้าน ใครมีกําลังก็ช่วยกัน ขณะที่รัฐบาลก็ซับพอร์ต เพื่อ ทดแทนตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวต่าง ประเทศ 40 ล้านคนต่อปีที่หายไป ขณะที่เรื่องข้าวยาก หมากแพงก็ต้องดูแลกันอย่างเข้มเลย เพราะผลกระทบ จากโควิด คนที่บอบบางที่สุดก็คือ คนระดับรากหญ้า เจอปัญหาเรื่องตกงานแล้ว ค่าครองชีพยังสูงขึ้น จาก สินค้าหลักที่เขาต้องซื้อทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร หมู ไก่ ไข่ไก่ อย่างหมูแพง เป็นตัวอย่างหนึ่งที่รัฐบาล ต้องเข้ามาแก้ไข อย่าปล่อยให้ซ้ำเติม เมื่อมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องไม่ทําให้เรื่องหมูๆ เป็นเรื่องยาก ต้อง แก้ไขได้ เพราะถือว่าเป็นปัญหาที่เราควบคุมได้ ไม่เหมือนโควิดที่เป็นเรื่องระดับโลก และไม่ใช่เพียงแค่สินค้าบริโภคอย่างเดียว ยังมีราคาน้ํามันด้วย เพราะเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว บางกิจกรรม ทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา เริ่มมีการใช้น้ํามันกัน ดังนั้น ปีนี้ราคาน้ํามันอาจกลับขึ้นมาเป็น 100 เหรียญได้ และ ราคาน้ํามันอาจจะเป็นตัวแปรส่งผลต่อการบริหารราคาก๊าซ ก๊าซหุงต้ม ค่าน้ํา ค่าไฟ ฉะนั้น ตอนนี้ส่วนตัวเห็นใจ รัฐบาลมาก ปัญหาต่างๆ มีเยอะ ก็อยากให้มีเสถียรภาพทางการเมืองเข็มแข็ง เพื่อที่จะจัดการกับปัญหาของ ประเทศในช่วง 1 ปีสุดท้าย ไม่ให้มีโรคแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้นอีก

• สถานการณ์วันนี้กําลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มที่แล้ว
วันนี้ทุกพรรคได้เตรียมตัวแล้ว แม้อายุรัฐบาลจะอยู่ได้อีก 1 ปี แต่ต้องยอมรับว่าการเมือง ช่วงนี้เหมือนขับรถ ออกจากบ้านที่ไม่รู้จะมีอุบัติเหตุเมื่อไหร่ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราไม่รู้ บางทีเราไม่ประมาท แต่ก็มีคน อื่นมาชนเราได้ ฉะนั้น ผมคิดว่าขณะนี้เป็นบรรยากาศที่ทุกพรรค การเมืองก็เตรียมความพร้อม มีการเปิดตัว พรรคการเมืองใหม่ๆ มันก็เป็นบรรยากาศที่รองรับการ เลือกตั้งอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบชัดเจนเท่านั้นว่าจะมี เลือกตั้งกันเมื่อไหร่ แต่หากโควิดจบภายใน อีก 1 ปีจากนี้ และระหว่างทางเราก็กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการเลือกตั้งก็เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่แล้ว ผมไม่ทราบว่าจะเป็นใคร แต่ส่วนตัวอยากให้บรรยากาศหลัง เลือกตั้ง เป็นบรรยากาศของโพสต์โควิด สร้างประเทศไทยยุคใหม่ สร้างแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่จะพาประเทศไทย เดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจใหม่ในอนาคต

• อะไรคือ ‘โพสต์โควิด’ ที่ประเทศไทยควรจะเดินไป
โพสต์โควิดถือว่าสําคัญมาก เป็นแพลตฟอร์มใหม่ของระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ หลังเดือดร้อนจาก โควิดมา 2 ปี จากที่เคยอยู่ในห้องไอซียู วันนี้กลับมาพักที่บ้านทําร่างกายให้ แข็งแรงเตรียมพร้อม พอหลัง เลือกตั้งก็เป็นฉากทัศน์ใหม่ของโพสต์โควิด ดังน้ัน เราต้องมองให้ออกว่า เน็กซ์นอร์มอลของประเทศไทยควร เป็นอย่างไร ต้องยอมรับว่าวันนี้มีหลายเรื่องที่ท้าทาย เศรษฐกิจโลกอยู่ และมันหนีไม่พ้นที่จะท้าทายรัฐบาลใหม่ ด้วย อย่างเรื่องโลกร้อน คาร์บอนไดออกไซด์หรือซีโอทู ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก นําไปสู่ข้อตกลงของโลกในการ ร่วมมือกัน รักษาระบบนิเวศ จนนําไปสู่กติกาทางการค้า ดังนั้น ถ้าเรามองไม่ออก ไม่เพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขัน ไม่ปรับฐานการผลิต เราจะเดือดร้อนส่งออกไม่ได้ เช่นเดียวกับเรื่องเทคโนโลยี เราจำเป็นต้องปรับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่วันนี้เราลดลงเรื่อยๆ เพราะปัจจัยเรื่อง เทคโนโลยีเป็นเรื่องสําคัญ วัน นี้เราไม่ทันเขา เราต้องปรับฐานทางด้านเทคโนโลยีในทุกมิติ สิ่ง เหล่านี้ท้าทายสังคมไทยอยู่มาก

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเขตภูมิรัฐศาสตร์ คือ จุดที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มการค้าต่างๆ 6-7 กลุ่ม ดังนั้น ต้องตัดวางโพสิชั่นของประเทศใหม่ มีนโยบายการต่างประเทศที่เหมาะสม ท่ามกลางกลุ่มการ ค้าต่างๆ เหล่านี้ ถ้าปรับทัน เราอาจได้เป็นเกตเวย์ เป็นประตูให้ประเทศไทยโกอินเตอร์ เป็นเกตเวย์สู่แปซิฟิก มี

ระบบคมนาคม เชื่อมการค้าการลงทุนเข้ามา ฉะนั้น แพลตฟอร์มใหม่ช่วยบูมประเทศเราได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ และมีนโยบายร่วมกันดีๆ มีการปรับโครงสร้างภาษีที่เสริมกําลังของประเทศ เปิดกว้างให้นําเทคโนลียีเข้ามาได้ เพื่อสร้างสตาร์ตอัพใหม่ๆ และที่สําคัญเราต้องรบบนจุดแข็ง 2 เรื่อง คือ การนําการเกษตรกับการท่องเที่ยวมา ใช้ และเติมเทคโนโลยีและการบริหารจัดการเข้าไป เพื่อให้เป็นจุดแข็ง เพิ่มตลาดใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลาย ทําให้เป็นไฮเอนด์โปรดัก เช่นเดียวกับการเกษตร เราต้องมีมาสเตอร์แพลนได้แล้วว่าภายในปีนี้นับตั้งแต่วันนี้ จะทําให้บิ๊กไฟว์ในการส่งออกของเราทั้งข้าว อ้อย ยาง มันสําปะหลัง ปาล์ม เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มี เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อส่งออกเป็นสินค้าแปรรูปทั้งหมด เพิ่มมูลค่าเป็น 10 เป็น 100 เท่าได้ แล้วคนกลาง ผู้ ประกอบการขนาดกลาง ซัพพลายเชนภายในประเทศจะเกิดขึ้นมหาศาล ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมอยากเห็น พรรคการเมืองต่างๆ ช่วยกันเสนอวิสัยทัศน์ทางด้านเศรษฐกิจดีๆ เพื่อมาร่วมมือกัน และเริ่มได้ทันทีหลังเลือกตั้ง ครั้งหน้า

• มองกันว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเครื่องยนต์ ทางการเมืองไม่เกิดก่อน
ใช่ ต้องเข้าใจว่าการเมืองคือตัวแทนประชาชนที่เลือกเข้ามาบริหาร กําหนดนโยบาย ถ้าเกิดว่าการเมืองไม่มี เสถียรภาพ ไม่มีคนเก่ง การเมืองไม่มีนโยบายดีๆ มันก็ไม่มีประสิทธิภาพในการ แก้ไขปัญหา จึงต้องพยายาม ส่งเสริมให้พรรคการเมืองนําเสนอคนดีๆ นโยบายดีๆ หลังเลือกตั้งก็จะ ทําให้เกิดเสถียรภาพเข้มแข็ง การเมือง ต้องมีความร่วมมือกัน ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นพวกเดียวกันไปหมด แต่เราไม่ขัดแย้งกันในเรื่องส่วนตัว ผมว่า บรรยากาศจะเป็นสิ่งที่ดีกับประเทศ

ส่วนตัวผมอยู่กับการเมืองมานาน วันที่ผมเล่นการเมืองใหม่ๆ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว การเมืองน่ารัก เป็นพี่เป็นน้อง พูดคุยกันได้ มีความร่วมมือกัน แบ่งบทบาทกันได้ ไม่มีขั้วทางการเมือง ผมคิดว่าเรามีขั้วการเมืองมาแล้ว 10 กว่าปี แล้วขั้วการเมืองก็มีผลให้เกิดการเผชิญหน้า ความขัดแย้ง นําไปสู่การไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เห็น ชัดๆ เช่น การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ด้วยความยากลําบาก เรามีเสียงไม่เพียงพอในการสร้างความมั่นใจให้กับ นักลงทุน วันนี้เราบอบช้ำกันมาเยอะ พี่น้องประชาชนคาดหวังประเทศ ฉะนั้น การเมืองต้องมีความร่วมมือกัน บางทีก็คิดถึงคําพูด ท่าน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ การเมืองจบเป็นยกๆ ยุบสภาก็ลบเทปว่ากันใหม่ ผมหวัง แบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครแพ้ชนะ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องช่วยกันตัดสินใจ

• กติกาทางการเมืองต้องแข่งขันกันได้ด้วย
กติกาต้องพยายามให้เกิดความยุติธรรม ให้เกิดความเป็นธรรม อย่าให้เกิดความเหลื่อมล้ำ กรรมการที่ตัดสิน ต้องทําหน้าที่อย่างเป็นกลาง เพื่อให้คนทุกคนได้รับการยอมรับ ทําให้พรรค การเมืองก็ยอมรับผลคําตัดสิน ประชาชนก็เห็นด้วยกับผลการตัดสิน การเมืองก็จะชอบธรรม พอ บรรยากาศดีมีความเป็นธรรมก็จะเป็นพื้นฐาน ไปถึงเสถียรภาพทางการเมืองด้วย อย่างการเลือกตั้งครั้งต่อไป ชัดเจนแล้วว่าจะเป็นกติกาเลือกตั้งตามที่

ขอบคุณที่มา : บทสัมสัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ฉบับที่ 16026
หน้า 2