“สุวัจน์” เลือกตั้ง คือ ความหวังของประเทศไทย

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พลเอกประยุทธ์ 8 ปี ศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายอ่านคำวินิจฉัย และลงมติวันที่ 30 กันยายนนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็
อยากจะให้กําลังใจ ท่านพลเอกประยุทธ์ คือ ผมคิดว่าเนื่องจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตําแหน่งที่สําคัญ ฉะนั้น พอมีอะไรที่จะกระทบกับนายกฯ ก็จะเป็นโฟกัสของสังคมอย่างกรณีนี้ ทุกคนก็ลุ้นกันว่าผลจะออกมาอย่างไร

“ผมคิดว่าผลจะออกมายังไงก็แล้วแต่ สมมุติออกมาว่า ท่านนายกฯ เป็นครบมาแล้ว 8 ปี เป็นต่อไม่ได้ เราก็มีกลไกในการที่จะสรรหานายกคนใหม่ ครม. ชุดใหม่ รัฐบาลชุดใหม่ ยังไงก็อีก 6 เดือนเลือกตั้ง แต่สมมุติบอกว่านายกฯ อยู่ต่อ นายกฯ ก็ทํางานต่อ ยังไงก็อีก 6 เดือนเลือกตั้ง

“ผมต้องการจะบอกว่า ความสําคัญขนาด ของประเทศโฟกัสอยู่ที่ว่าอีก 6 เดือนเลือกตั้ง รัฐบาลชุดนี้อยู่มาแล้ว 3 ปีครึ่ง ก็เหลืออีกเพียง 6 เดือน ฉะนั้น ผลกระทบต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ที่เราคิดว่าเป็น เป็นทางออกของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ถ้าเกิดสมมุติว่า กรณีอย่างนี้เกิดขึ้นในช่วงปีแรกของการเป็นรัฐบาล ก็อาจจะมีผลกระทบเยอะในกรณีถ้าเกิดท่านนายกฯ ไม่ได้ไปต่อเหมือนกับเพิ่งเป็นนายกฯ สมมุติปีแรก แล้วเหลืออีก 3 ปีกว่าต้องเปลี่ยนนายกฯเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนครม.ในกรณีที่นายกฯไม่ได้ไปต่อ อันนั้นก็อาจจะเป็นประเด็นที่เรามีความห่วงใยกันมาก

“แต่ว่าในช่วงนี้ ผมคิดว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายแล้วของรัฐบาล ฉะนั้น ยังไม่ทราบคําวินิจฉัยของศาลจะเป็นอย่างไร จะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่ากลไกของกฎหมาย กลไกของรัฐธรรมนูญ กับห้วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ 6 เดือน ก็ไม่น่าที่จะมีผลกระทบอะไรมากอยากให้ทุกฝ่ายสบายใจ ว่าศาลจะตัดสินออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะครบแล้วหรือไม่ครบ กลไกทุกอย่างในบ้านเมืองเราถูกออกแบบรองรับผลกระทบไปหมดแล้ว และโจทย์ใหญ่ของประเทศขณะนี้ก็คือ การเลือกตั้งอีก 6 เดือน ที่จะเป็นความหวังที่จะให้รัฐบาลใหม่ซึ่งก็ไม่ทราบจะเป็นใคร ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา ฉะนั้น ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ต่างๆ เพื่อนําไปสู่การเลือกตั้งให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ว่าใครจะเป็นนายฯ หรือจะเป็นนายกฯ ท่านเดิมแล้วก็อีกภารกิจหนึ่ง คือ เรื่องการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค เป็นเรื่องที่มีความสําคัญ 21 ปี ก็จะเวียนมาที่ประเทศไทย ฉะนั้น เราเป็นเจ้าภาพ การต้อนรับผู้มาเยือนการเป็นเจ้าภาพที่ดีที่สุดจะเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่น เป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศที่ดี
ฉะนั้น ผมคิดว่า สิ่งสําคัญจากคําวินิจฉัยของศาลออกมาแล้วจะมีอยู่สองเรื่อง คือ การที่เราจะต้องเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ให้สมบูรณ์ให้ดีให้เกิดการยอมรับความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย หลังจากนั้นก็เป็นปฏิทินการเลือกตั้งซึ่งก็ยังไม่รู้เมื่อไหร่ แต่ที่สุดยาวไกลที่สุดรัฐบาลก็อยู่ได้ถึงเดือนมีนาคม 2566”

ผู้สื่อข่าวถามถึงทิศทางการเมืองของพรรคชาติพัฒนากล้า นายสุวัจน์ กล่าวว่าขณะนี้เราได้มีการปรับชื่อพรรคจากชาติพัฒนาเป็น ชาติพัฒนากล้า แล้วก็ได้มีการเตรียมการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ในวันศุกร์นี้ ( 30 ตุลาคม 65) จะได้มีการพูดคุยกันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมการเลือกตั้ง แล้วก็การจัดทํานโยบายโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ และการเตรียมสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความพร้อมสําหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้

“ผมคิดว่าวันนี้พรรคชาติพัฒนากล้า จะเป็นพรรคการเมืองของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยเป็นพรรคที่เหมือนกับว่ามีฐานการเมืองอยู่โคราช พอท่านกรณ์ มาร่วมพรรคด้วยเราก็อาจจะมีฐานเพิ่มขึ้นที่กรุงเทพแต่ความตั้งใจในการทําพรรคชาติพัฒนากล้า ต้องการที่จะเป็นพรรคที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ฉะนั้น ก็ควรที่จะมีฐานทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไปในหลายๆ จังหวัดด้วย”

นายสุวัจน์ กล่าวว่าสําหรับที่จังหวัดนครราชสีมานั้น ถือว่าเป็นฐานที่มั่นเราก็จะมีการเตรียมนโยบาย เหมือนกับเป็นนโยบายโคราช สําหรับพรรคชาติพัฒนากล้า เหมือนกับเป็นนโยบายสําหรับจังหวัดนี้เลย เหตุผลก็เพราะว่าจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดใหญ่ มีผู้แทนส.ส.ถึง 16 ท่าน แล้วเป็นประตูสู่อีสาน เป็นจังหวัดที่มีฐานทางด้านเศรษฐกิจฐานทางด้าน GDP ฉะนั้น ศักยภาพของโคราชมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ อย่างเช่น ปัญหาเรื่องน้ําท่วม ปัญหาเรื่องการคมนาคม ฉะนั้น พื้นฐานความต้องการในนโยบายที่ชัดเจนพรรคการเมืองก็จะเป็นองค์ประกอบที่จะทําให้พี่น้องประชาชนชาวโคราชได้ตัดสินใจ
ขณะนี้ถือว่าเราได้เตรียมความพร้อมแล้วที่จังหวัดนครราชสีมา จะต้องเป็นฐานที่มั่นที่เราจะต้องพยายามทําเสียงให้ได้มากที่สุด และหวังว่าผลการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ พรรคชาติพัฒนากล้า น่าที่จะได้รับการตอบรับแล้วก็มีเสียงพอสมควรในการที่จะมาทํางานให้กับพี่น้องประชาชน เพราะเราตั้งใจมากๆ
โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ อันนี้มันเป็นเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจ เรื่องของปากท้อง ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน ที่อยู่ในใจของพี่น้องประชาชนที่อยากให้ใครมาแก้ไขปัญหาเราก็จะอาสาว่าเรามีความพร้อม

“การเลือกตั้งครั้งต่อไป เราต้องเป็นตัวของเรา ทุกพรรคก็ต้องเป็นตัวของเรา ทุกพรรคก็ต้องพยายามให้ได้เสียงเยอะ ทุกพรรคก็ต้องพยายามผลักดัน candidate นายกของตนเองก็เป็นไปตามปฏิทินการเมือง”

ผู้สื่อข่าวถามถึง 180 วันกฏเหล็กกกต.กับการเลือกตั้ง นายสุวัจน์ บอกว่าเราต้องเข้าใจกกต.เพราะเป็นเกณฑ์ เป็นข้อกําหนด เป็นกฎหมาย. ที่จะต้องกําหนดหลักเกณฑ์ออกมาในช่วง 180 วัน ซึ่งก็ยังไม่ได้มีการประกาศยุบสภา แต่เป็นข้อที่กําหนดเอาไว้ว่าต้องวางกฎ วางเกณฑ์ แต่ขณะเดียวกันก็เห็นใจพี่น้องประชาชนมากโดยเฉพาะมักจะเกิดปัญหาเรื่องอุทกภัย อย่างตอนนี้มีพายุโนรู เข้ามาก็ครอบคลุมหลายจังหวัด ส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างที่โคราชก็โดนหนักฝนตกติดต่อไปมาหลายวัน

ซึ่งปัญหาเรื่องอุทกภัยก็เป็นปัญหาใหญ่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นกลไกในการแก้ไขก็ควรจะต้องมีการพิจารณากัน อย่างเช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ผมว่าบางทีเรามีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการคมนาคมขนส่ง มีแผนแม่บท รถไฟฟ้าสิบสาย กี่ปีทําเสร็จ งบประมาณกี่แสนล้าน รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ ต่างๆ เราก็มีแผนแม่บทที่ดีที่ทําให้การพัฒนาทุกอย่าง เห็นผล เห็นความชัดเจน

“ผมคิดว่าเราต้องทําจัดทําโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม ขณะเดียวกันก็ควบคุมเรื่องปริมาณน้ำที่เหมาะสมไม่ให้ท่วม ไม่ให้แล้ง เพื่อรองรับการเกษตรด้วย เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบเรื่องน้ําท่วม เช่น การจัดทําเรื่องเขื่อนอ่างเก็บน้ํา เขื่อนริมตลิ่ง แก้มลิง หรือการเชื่อมโยงต่างๆ เพื่อบูรณาการพื้นที่ตามลุ่มน้ําที่สําคัญๆ ลุ่มน้ําชี ลุ่มน้ํามูล ลุ่มน้ําป่าสัก ลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลุ่มน้ําแม่กลอง ให้มีการเชื่อมโยง มีการบูรณาการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ําท่วมอย่างยั่งยืน

แต่ขณะเดียวกันเมื่อสิ่งนั้นยังไม่ได้ทําความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เฉพาะหน้า ทุกครั้งน้ําท่วมก็จะเดือดร้อนกันก็ส่งกําลังใจไปหา บางทีในสภาวะปกติ ทุกฝ่ายก็ลงไป รัฐบาล ราชการเอกชน โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองจะมีโอกาสเข้าไปช่วยเหลือไปมอบ สิ่งของบรรเทาทุกข์ อาหาร น้ํายารักษาโรคเป็นกําลังใจให้กัน แต่ว่าวันนี้เนื่องจากข้อกําหนดของกกต. ทำให้ฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองทั่วไป ไม่สามารถจะเข้าไปช่วยเหลือได้ใจไปถึงแต่มือเอื้อมไปไม่ถึงด้วยกฎระเบียบที่กําหนดเอาไว้ อันนี้ผมเห็นใจพี่น้องประชาชน แล้วก็ผมเห็นใจฝ่ายการเมืองฉะนั้น ต้องเป็นภาระหน้าที่ของส่วนราชการหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่าจะต้องมาทําหน้าที่มากขึ้น มีการประสานงานกันมากขึ้นในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน อยากให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจด้วย แล้วก็ยังเป็นกําลังใจให้ทุกท่าน” นายสุวัจน์ กล่าว