“เฉลิมชัย” ประณามพฤติกรรมคนบางกลุ่มในพรรคประชาธิปัตย์ หลังองค์ประชุมไม่ครบ ฝากช่วยกันปลุกจิตสำนึกให้เดินหน้าได้ ชี้ ประชุมใหญ่ใช้งบครั้งละ 3-4 ล้าน ไม่ใช่เอามาผลาญเล่น

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 6 สิงหาคม 2566 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 ล่มอีกครั้ง สาเหตุจากองค์ประชุมไม่ถึง 250 คน ตามข้อบังคับพรรค โดยมาลงชื่อร่วมประชุมเพียง 223 คน โดย นายเฉลิมชัย กล่าวประณามว่าเป็นพฤติกรรมเลวร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะคำประกาศอุดมการณ์ของพรรค ข้อที่ 1 พรรคจะดำเนินการโดยวิถีทางบริสุทธิ์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายกับพรรคเป็นอย่างมาก 

จึงขอออกมาแถลงข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ การไม่ครบองค์ประชุมจนไม่สามารถดำเนินการต่อได้ทั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดโดยพฤติกรรมของกลุ่มคนบางกลุ่มในพรรคเอง ตนต้องขอโทษไปยังสมาชิกพรรคที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น 

“มีการให้องค์ประชุมออกจากห้องประชุม มีการให้องค์ประชุมไม่ลงชื่อในการประชุม มีการให้องค์ประชุมไปเที่ยวประเทศลาว เพื่อไม่ต้องมาประชุม ผมถือว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่เลวทรามมาก มันไม่ควรจะเกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันทางการเมือง” 

พร้อมวางมือทางการเมืองถ้าเป็นอุปสรรค

พร้อมกันนี้ อยากฝากช่วยปลุกจิตสำนึกของคนในพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่าเจ้าตัวรู้ว่าทำพฤติกรรมอะไรกันอยู่ ขอให้มีจิตสำนึกรักพรรคสักนิด เชื่อว่าถ้าจิตสำนึกกลับคืนมาประชาธิปัตย์จะเดินไปข้างหน้าได้ เราไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังหรือมีความคิดส่วนตัวได้ เพราะมีระเบียบ ข้อบังคับ แต่กลับมาฉีกเสียเอง เป็นสิ่งที่คิดว่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมถอย ในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรค พร้อมด้วย สส. และกรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมนี้ จึงขอแถลงประณามพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่มาเล่นเกมการเมืองเพื่อหวังตอบสนองความต้องการของใครบางคน 

“ยืนยันว่าส่วนตัวผมพร้อมจะวางมือทางการเมือง และเคยยื่นข้อเสนอไปว่า ถ้าผมเป็นอุปสรรคกับพรรคประชาธิปัตย์ขอให้มีการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินการตามข้อบังคับพรรค และถ้าผมเป็นอุปสรรคจริงๆ ผมพร้อมจะลาออกจากประชาธิปัตย์ในวันนั้นเพื่อให้ทุกคนสบายใจ วันนี้ผมได้ทำทุกอย่าง และใครที่ไม่มีหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ ขอความกรุณาไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็น”

ประชุมใหญ่ใช้งบ 3-4 ล้าน ไม่ใช่เอามาผลาญเล่น

ขณะเดียวกัน นายเฉลิมชัย ยังกล่าวถึงงบประมาณการจัดประชุมใหญ่ในแต่ละครั้งต้องใช้งบ 3-4 ล้านบาท เป็นเงินที่ประชาชนตั้งใจให้พรรคประชาธิปัตย์มาทำกิจกรรมทางการเมือง ไม่ใช่ให้เอามาผลาญเล่นเช่นนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย และขอให้ทุกคนกลับไปคิดตรึกตรองว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาถูกต้องหรือไม่ คงจะรู้ตัวกันอยู่แล้วว่าใครบ้าง จากนี้จะต้องนัดประชุมใหม่ตามข้อบังคับพรรค

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะมีวิธีการอย่างไร นายเฉลิมชัย ตอบว่า รักษาการมีอำนาจเต็มในการดำเนินการอยู่แล้ว นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็อยากให้เดินหน้า จากนี้จะให้ฝ่ายกฎหมายมาดูว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเดินไปข้างหน้า จะมาลากถ่วงแบบนี้ไม่ถูกต้อง

ส่วนคำถามว่าการที่ประชุมล่มทั้ง 2 ครั้ง เกิดจากคนเดิมๆ หรือไม่ นายเฉลิมชัย เผยว่า ให้ไปดูที่ทะเบียนของพรรค ยืนยันว่าไม่ได้ล่มโดยธรรมชาติ แต่เป็นการล่มโดยเจตนา และก่อนล่มทุกครั้งจะทราบล่วงหน้า 1 วันเสมอ เมื่อถามต่อไปว่าภายในเดือนสิงหาคมนี้ จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่หรือไม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า “ก็ผมบอกแล้ว ถ้ามีจิตสำนึกกว่านี้ก็ได้แล้ว ช่วยๆ หน่อย ฝากเลยครับ ช่วยๆ กันปลุกจิตสำนึกกันหน่อย” 

ขณะที่คำถามต้องเปลี่ยนสถานที่ประชุมครั้งต่อไปหรือไม่ ได้คำตอบจาก นายเฉลิมชัย ว่า “รอบหน้าผมน่าจะต้องไปเช่าเต็นท์มาทำมั้ง เพราะว่าพรรคก็จะไม่มีตังค์แล้ว ครั้งหนึ่ง 3-4 ล้าน ประชุมเต็นท์ก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะต้องกินข้าวผัดกะเพราไข่ดาวกันนะ ไม่ได้กินข้าวกล่องดีๆ” และทิ้งท้ายว่ามี สส. ไม่ต่ำกว่า 21 คน ที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้

ท้าออกมาพูดใครไม่มีอุดมการณ์

ทั้งนี้ ก่อนแถลงข่าวผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่หลายคนมองอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์หากจะไปร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย  นายเฉลิมชัย ระบุว่า ขอถามว่าวันนี้ คนที่อยู่พรรค ใครที่ไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์บ้าง ออกมาพูดให้ชัดว่าใครไม่มีอุดมการณ์บ้าง ไม่ใช่พูดเอามัน พูดเอาสนุก พูดเข้าข้างตัวเอง 

“มีใครที่ไม่รักประชาธิปัตย์บ้าง มีใครที่ไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์บ้าง ขอให้บอกตัวคนมา ถ้าคุณแน่จริงก็ออกมาประกาศเลยว่ารักพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าผม คุณก็ประกาศมาเลย ไม่เป็นอะไร สังคมจะได้รู้ว่าการรักพรรคของคุณมันมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ผมว่าหลักการข้อบังคับของพรรคมีอยู่แล้วก็เดินไปตามนี้ แล้วผมเองก็แน่นอนว่าผมไม่ได้เข้ามามีผลประโยชน์แล้ว ผมถามสักคำว่า การที่ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว สส. หรือสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ให้เกียรติรักและเคารพนับถือผม มันเป็นความผิดหรือ ต้องย้อนไปว่าคุณต้องไปทำตัวให้ สส. เขารักและเคารพ เหมือนที่ผมทำ มันก็จะจบมันไม่มีอะไร”