ทายาทตลาดสุรนารี (โคราช) ร้องอัยการโคราช เหตุสั่งฟ้องไม่มีความเป็นธรรม
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 นางสาวปณยา สุวรรณชาติ อายุ 61 ปี หนึ่งในทายาทตระกูลสุวรรณชาติ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตลาดสุรนารี หรือ ตลาดสุรนคร กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนและขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า วันนี้รู้สึกดีใจ โล่งใจ มีกำลังใจต่อสู้ต่อไป เพราะท่านเมตตาให้เราเข้าพบรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้ความยุติธรรมและจะตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
“เราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พื้นฐานครอบครัวทำนา ค้าขาย พ่อแม่ให้เค้าเช่าที่ดินทำตลาด อายุสัญญาเช่า 30 ปี เราไม่เคยได้ค่าเช่าเลย จนพ่อกับแม่ตายหมดแล้ว พอชนะคดี สัญญาเช่าหมดอายุ 30 ปี ก็มาเจอกับปัญหาของคนอยากได้ที่ดินเรา สร้างพยานหลักฐานฟ้องร้องเป็นคดีสารพัด ล่าสุด แจ้งข้อหาเราปล้นทรัพย์ไม้ไผ่ ทำร้ายป้อมยาม บนที่ดินของเรา ซึ่งพวกเราทั้ง 28 คน ก็ไปรายงานตัวและข้อกล่าวว่าแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่สภอ.เมือง จังหวัดราชสีมา” นางสาวปณยา กล่าวว่าและย้ำว่า
“พี่น้องในตระกูลสุวรรณชาติ ไม่ได้มีความขัดแย้ง ไม่ได้เป็นศึกสายเลือดเลย แต่มีคนประสงค์ร้ายอยากได้ที่ดินซึ่งเป็นกองมรดกของตระกูลเรา พยายามสร้างสถานการณ์ ทำให้สังคมภายนอกเข้าใจผิด ข้อเท็จจริงเรามีขัดแย้ง ฟ้องร้องเป็นคดีกับผู้เช่าที่ดินเท่านั้น ส่วนคู่กรณีจะมีปัญหาอะไรกับทายาทคนใดของตระกูล 1 ใน 9 ก็ควรไปว่ากันเป็นส่วนตัว”
นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายและบริหาร บริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด กล่าวว่าวันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 28 คน ได้เข้าพบสำนักอัยการสูงสุด และสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือร้องเรียนและขอความเป็นธรรม เพื่อใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องคดีอาญาที่มิต้องด้วยกฎหมาย ส่อเจตนาทุจริตสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนชาวไทย 28 ชีวิต ของอัยการจังหวัดนครราชสีมา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา พวกเราทั้ง 28 คน ได้รับแจ้งเป็นหมายแจ้งผู้ต้องหาให้มาพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อส่งฟ้องให้แก่พนักงานอัยการ คดีดังกล่าวนี้เป็นคดีที่พนักงานสอบสวนได้ดําเนินการมาแล้วประมาณ 6 เดือนส่งไปที่อัยการ พนักงานสอบสวนมีคําสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากไม่มีมูลแห่งความผิด แต่ด้วยเหตุที่อัยการสั่งฟ้อง พนักงานสอบสวนจึงดําเนินการเรียกผู้ต้องหามาเพื่อดําเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ และดําเนินการทางกฎหมาย เพื่อดําเนินการส่งฟ้องให้กับอัยการ
โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดจากการที่ คู่กรณีกับพวกประมาณ 30-50 นาย (ชายชุดดำ) บุกรุกเข้าไปในที่ดินตลาดสุรนคร หรือตลาดสุรนารี อันเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของเหล่าผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ ซ่องโจรในครั้งนี้. โดยเข้าไปยึดการครอบครองและพยายามจะใช้กําลังผลักดันเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินออกจากที่ดินตลาดสุรนคร ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ต่อเนื่องวันที่ 1 มกราคม 2564 โดยเอากําลังพลเข้ามา 30-50 นาย แล้วอยู่ต่อจนกระทั่งถึงช่วงวันที่ 3-4 มกราคม 2564 ในระหว่างนั้นมีการแจ้งความ มีการแจ้งผู้ว่าฯ จังหวัดนครราชสีมา มีการประชุมกับผู้บังคับการตำรวจ จังหวัดนครราชสีมา ว่า “ทําไมตํารวจไม่ดําเนินการข้อหาบุกรุกกับทางคู่กรณีในข้อหาที่เขามากระทําการต่อที่ดินกรรมสิทธิ์ของบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหล่านี้”
สุดท้าย เกิดกรณีมีการฟ้องว่ามีการปล้นทรัพย์ เป็นตู้ยาม ซึ่งได้รับมอบมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีทั้งกลุ่มอาคารทั้งหมดโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของ และอ้างว่ามีการปล้น ป้อมยามพร้อมกับแอร์ที่ติดตั้งที่ป้อมยามนั้น ซึ่งนี่คือ ข้อกล่าวหาในวันนั้น แล้วก็มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่าเขาครอบครองอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้ครอบครอง แต่เป็นการเข้ามาบุกรุกในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 รอยต่อวันที่ 1 มกราคม 2564 ของคืนนั้น.
เนื่องจากคู่กรณีไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในที่ดิน แต่เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์จริง ที่ปรากฏชื่อของนายสนิทกับนางประกอบ สุวรรณชาติ อันเป็นกองมรดกส่งทอดถึงทายาทตระกูลสุวรรณชาติ ที่โดนจับกลุ่มนี้
“วันนี้ พวกเราได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีซึ่งมีการสอบสวน และเราเชื่อว่าเป็นการสอบสวนที่มิชอบ เพราะเหตุของข้อเท็จจริงดังกล่าว จะเห็นว่ากลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าต้องคดีปล้นไม้ไผ่หนึ่งท่อนอยู่บนที่ดินของตัวเอง แล้วอีกหนึ่งคดีคือ ปล้นตู้ยาม ทำร้ายแอร์ และอุปกรณ์ร่วมกับตู้ยาม ซึ่งอยู่ในความครอบครองบนที่ดินของพวกเรา ตลาดสุรนารี หรือตลาดสุรนครเก่า ซึ่งมีมหากาพย์ต่อสู้กันมา 30 ปี และมีคนที่ประสงค์อยากจะได้ที่ดิน จึงพยายามอยากจะนําข้อต่อรองทางด้านคดีอาญา มาต่อรองเพื่อเอาผลประโยชน์แก่ที่ดิน เพื่อให้เราส่งมอบที่ดินให้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตามที่ดินนี้ เป็นทรัพย์มรดกของตระกูล “สุวรรณชาติ” ตระกูลอื่นไม่มีสิทธิ์แน่นอน เสร็จแล้วก็พยายามช่วงชิงหรือใช้โอกาสความฉลาดที่มากกว่าทางกฎหมาย โดยร่วมมือหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตํารวจหรือพนักงานอัยการอันนี้ต้องสอบสวนต่อไป.
“เราจึงได้นําเรื่องมาให้อัยการสูงสุด เพื่อสอบสวนอัยการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสอบสวนคดีนี้ และสอบสวนการทําหน้าที่เจ้าพนักงานด้วย พร้อมยื่นหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทวงถามความยุติธรรม เพราะท่านคือ เสาหลัก คือ ที่พึ่งของประชาชนชาวไทย”นานพิชญ์ กล่าว
โดย นายทรงพล สุวรรณพงศ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายสาธิต สุทธิเสริม ผู้อำนวยการประสานมวลชนและองค์กรประชาชนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ออกมารับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว และพร้อมให้ความยุติธรรม
นายทรงพล กล่าวว่าสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมหน่วยงานหนึ่ง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น พร้อมแนววิธีการปฏิบัติ หรือว่าเรื่องอะไรก็ตาม อยากกราบเรียนพี่น้องประชาชนให้สบายใจ ว่าทางอัยการสูงสุด เรามีสํานักงานอัยการในส่วนของภูมิภาค เป็นสํานักงานอัยการจังหวัดหรือหากว่าท่านเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับความสะดวก เกิดความไม่สบายใจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของ พนักงานอัยการของข้าราชการในสํานักงานอัยการสูงสุด สามารถที่จะดําเนินการในลักษณะแบบนี้ได้ และเราก็จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
@jaophoto2022 ทนายพิชญ์ สนธิ และผู้ต้องหา อีก 27 คน ตลาดสุรนารี ร้องความเป็นธรรมกับ อัยการสูงสุด คดีปล้น ซ่องโจร #ตลาดสุรนารี#อัยการสูงสุด ♬ original sound - Thaweechai Jao