“สุวัจน์”ขอให้บัณฑิต ต้องเสียสละร่วมกันสร้างสำนึก รักชาติ มองโอกาสหลังโควิด ที่ไทยจะลุกยืนก่อน
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2563 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ (อาคาร 35 ชั้น 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวแสดงความยินดีแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต และมอบช่อดอกไม้ในงานพิธีซ่อมใหญ่สำหรับบัณฑิตที่รับพระราชทานปริญญาบัตร (เหมือนวันจริง) แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน 1,198 คน ว่าขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตทุกท่าน เนื่องในพระราชวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชทานปริญญาบัตรให้กับบัณฑิต มหาบัญฑิต และดุษฏีบัณฑิต ทุกท่าน ของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ที่หอประชุมมหาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร วันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ทราบว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อันล้นพ้น แด่มหาวิทยาลัยและบัณฑิตทุกท่าน และขอให้บัณฑิตทุกท่านได้น้อมรับพระมหากรุณาธิคุณ มหามงคลเพื่อเป็นมงคลแด่ทุกท่านที่จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิตต่อไปและมีความยินดีที่ทุกท่านได้มีความวิริยะอุตสาหะ ในการเรียนการสอน ที่ได้รับจากสถานบันแห่งนี้ ประสบความสำเร็จ
นายสุวัจน์ กล่าว่าหน้าที่สำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา คือ การผลิตบัณฑิตเพื่อจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว มีประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่น และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติโดยส่วนรวมบัณฑิตต้องมีภารกิจที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1.เพื่อตนเองและครอบครัว 2.เพื่อท้องถิ่น ที่พวกท่านได้เดินทางมา และ3.ที่สำคัญที่สุด ภารกิจ ท่านจะได้ใช้ความรู้ความสามารถกับประเทศชาติ ซึ่งจบมาตอนมีภาวะที่ประเทศมีวิกฤตจริงก็คือ วิกฤตเรื่องโควิด ถ้าถามว่าจบกันตอนไหน จบตอนที่มีโควิด สมัยก่อนนี้ เรียนจบรุ่นไหน ซึ่งจะมีเหตุการณ์สำคัญของรุ่นก็มีเหตุการณ์เรื่องโควิดเกิดขึ้นบ้านเมืองก็ได้รับผลกระทบทำให้พี่น้องประชาชนต้องต่อสู้กับโควิดตามมาตรการต่างๆ ตามกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเราสามารถชนะได้ แสดงว่าตราบใดที่พวกเราจับมือกัน มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราก็ชนะได้ แต่ผลกระทบของโควิด ก็คือเรื่องเศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะจบโควิด เรื่องชีวิต ที่นี้ก็เป็นเรื่องปากท้อง ที่เราต้องต่อสู้กัน ก็ยังเห็นใจกับบัณฑิตที่ต้องต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผลกระทบเศรษฐกิจนั้นก็เราก็ต้องรอดูกันไป ว่าจะเป็นยังไงถ้าโควิดจบเมื่อไร
ผมคาดการณ์วัคซีนจะมีเริ่มต้นปีหน้า วัคซีนมีผล ถ้าทุกคนได้รับวัคซีนแล้วเศรษฐกิจจะคลี่คลายเมื่อไร เศรษฐกิจจะกลับมากลางปี อาจจะกลับมา หรืออาจจะต้องนับ 1 กันใหม่ เราเพิ่งจะออกจากไอซียู หรือต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี เศรษฐกิจประเทศถึงจะกลับมา คนไทยก็ต้องช่วยกัน ประคับประคอง การส่งออกก็ได้รับผลกระทบ เพราะการส่งออกติดลบ สายการบินก็ไม่บิน นักลงทุนก็ไม่มา นักท่องเที่ยวก็ไม่มา ซึ่งตอนนี้เราก็ได้รับผลกระทบ หลายอย่าง ส่งออกได้ไหม มีคนมาลงทุนไหม มีคนมาท่องเที่ยวไหม ตอนนี้เราได้รับผลกระทบไปหมดเลยเกิดปัญหาเรื่องปิดกิจการ ส่งผลกระทบปัญหาของการว่างงาน มากกว่า 4 ล้าน ถึง 5 ล้านคน ผู้ประกอบการท้องถิ่น พ่อค้า แม่ค้า SME โอทอป ร้านขายของ ร้านตัดผม สามล้อ แท็กซี่ มีผลกระทบกันหมด ซึ่งตอนนี้รัฐบาลมีมาตรการ รณรงค์ให้คนไทยออกมาเที่ยวกันเอง เช่น ไทยเที่ยวไทย รัฐบาลออกให้คนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน ซื่งเป็นมาตรการต่างๆ กระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น วัดบ้านไร่ หลวงพ่อคูณ ปกติจะมีนักท่องเที่ยว กรรมการวัดบอกว่าตอนนี้ไม่มีใครมา ซึ่งตอนนี้ก็เข้าไปดูและวางแผนฟื้นฟูระบบการท่องเที่ยวให้วัดหลวงพ่อคูณ สิ่งหนึ่งที่จะประคับประคอง ก็คือว่า คนไทยต้องออกมาช่วยประเทศชาติ คือ คนไทยต้องออกมาเที่ยว ออกมาช้อป ออกมาใช้ เพื่อประคับประคอง พวก SME ให้ธุรกิจอยู่ได้ ก็เหมือนมีข่อนไม้ ก็เกาะไว้ก่อนอย่าเพิ่งจม ยังไม่ถึงฝั่ง แล้วเราจะสบาย เพราะ
“ผมคิดว่าหลังโควิด ประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นคงให้กับประเทศได้ เพราะเมืองไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดี เมืองไทยเมืองน่าอยู่ เมืองปลอดภัย วิกฤตโควิด ถ้าจบสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยว 40 ล้าน เมืองไทยเป็นต้นของประเทศท่องเที่ยว มีสินค้าโอทอป เมืองไทยน่าอยู่ การเกษตร การส่งออกต่างๆ ติดลบ แต่การส่งออกของการเกษตร สร้างเมืองไทยเป็นเมืองอาหารของโลก ข้าว อ้อย มัน ยาง เรามีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น เป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรของโลก เมืองไทยเป็นเมืองอาหารของโลก เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก เป็นเมืองน่าอยู่ของโลก เมืองไทยเป็นบ้านที่สองของคนทั่วโลก และเป็น Head Office สำนักงานใหญ่ของโลก นี้คือโอกาสที่มาจากวิกฤตโควิด เนื่องจากคนไทยได้ร่วมมือกันต่อสู้กับปัญหาโควิด เราไม่ต้องท้อถอยเลย เพราะเศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกเหมือนกันหมด แต่โอกาสของโควิดไม่เหมือนกันหมด ประเทศไทยมีโอกาสสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคราช หรืออีสาน เราเป็นภาคที่มีการเกษตรเป็นแหล่งวัตถุดิบมากที่สุด การท่องเที่ยวทางภาคอีสาน โดยเฉพาะการเดินทางต่อไปของเรามีมอเตอร์เวย์ มีรถไฟความเร็วสูง” นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า
“ขอให้ร่วมมือกันต่อสู้และอดทน เพื่อใช้ความรู้ความสามารถในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศและเพื่อครอบครัว ช่วยกันเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง Made in Thailand ซื้อสินค้าไทย ไทยช่วยไทย ไทยเที่ยวไทย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ ประคับประคองสักปี ผมอยากจะฝากบัณฑิตให้นำความรู้ความสามารถไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป ขอแสดงความยินดี อีกครั้งหนึ่ง ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและได้ใช้วิชาความรู้ ให้เกิดประโยชนสูงสุดต่อไป”นายกสภามหาวิทยาลัยฯ กล่าว