หน.เขาใหญ่ เผย ออกลาดตระเวนผืนป่า พบ “ฝูงนกเงือกกรามช้างกว่า 200 ตัว” นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์งดงามของธรรมชาติ ดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่

นครราชสีมา- นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เป้นต้นมา ทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ จำนวน 9 นาย ออกลาดตระเวนป่าตามระบบ SMART Patrol System ในพื้นที่ใจกลางผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ตั้งแต่บริเวณด่านช้าง-ฐานปฏิบัติการบึงไผ่-เขาสามยอด-สระอโนดาต-เขาหินล้าน และฐานปฏิบัติการคลองอีเฒ่า เป็นระยะเวลา 4 วัน 3 คืน รวมระยะทางกว่า 35 กิโลเมตร โดยพบว่า ทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรสัตว์ป่า ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก พบรอยตีนของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้างป่า กระทิง ตลอดเส้นทาง

ซึ่งจากการออกลาดตระเวนป่าทางเท้าในพื้นที่ใจกลางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วงวันแรกของการลาดตระเวน ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์และความงดงามของฝูงนกเงือกกรามช้าง ที่มารวมกลุ่มกันออกหากินเป็นฝูงขนาดใหญ่บริเวณหุบเขาแห่งหนึ่ง นับรวมได้กว่า 200 ตัว ซึ่งนกเงือกกรามช้างถือเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ เหมาะสมต่อการสร้างโพรงรังในฤดูวางไข่ของนกเงือก จนกว่าลูกนกจะโตและสามารถดูแลตัวเองได้

ต่อมา ระหว่างเส้นทางการลาดตระเวนวันที่ 2 พบหมีควายขนาดใหญ่ ในระยะไม่เกิน 50 เมตร กำลังออกหากินพร้อมกันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ และลูกหมีน้อยอีก 2 ตัว ซึ่งหมีควายได้สอนให้ลูกหมีออกหากินน้ำผึ้งบนต้นไม้ขนาดใหญ่ กลายเป็นภาพน่าประทับใจของเจ้าหน้าที่ที่ออกตรวจลาดตระเวนในครั้งนี้

ส่วนวันสุดท้าย ได้ลาดตระเวนผ่านทุ่งหญ้าของฐานปฏิบัติการคลองอีเฒ่าที่เจ้าหน้าที่ได้ปรับปรุงให้เป็นแหล่งทุ่งหญ้า แหล่งน้ำ แหล่งโป่งโดยการเสริมเกลือให้เป็นอาหารแร่ธาตุของสัตว์ป่า ซึ่งได้พบรอยตีนของช้างป่าและกระทิงป่า กระจายอยู่เต็มพื้นที่ บ่งบอกให้เห็นว่า การปรับปรุงทุ่งหญ้าและแหล่งอาหารของสัตว์ป่า บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตั้งใจไว้

นายอดิศักดิ์ฯ ยังกล่าวอีกว่า “ระบบการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ” หรือ SMART Patrol System ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ได้นำมาใช้อย่างจริงจังในช่วงที่นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คนปัจจุบันได้เข้ามาบริหารองค์กร โดยได้กำชับให้หัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทุกแห่ง ต้องออกลาดตะเวนป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า เพื่อที่จะได้รู้ถึงขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบ ได้รู้ถึงปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยคุกคามต่างๆ สำหรับนำมาวิเคราะห์เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ในวันที่ 31 กรกฎาคมของทุกปี แวดวงการอนุรักษ์ทรัพยากรฯ ได้กำหนดให้เป็น “วันผู้พิทักษ์ป่าโลก” ซึ่งที่ผ่านมา ทุกปีจะมีการจัดงานวันผู้พิทักษ์ป่าโลก หรือ World Ranger Day เพื่อระลึกถึงความเสียสละของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า ที่ได้อุทิศตนเพื่อปกป้องรักษาทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรสัตว์ป่าของประเทศชาติไว้ การลาดตะเวนป่า จึงถือเป็นภารกิจที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ทุกนาย และถือเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าทุกคน ที่ได้ร่วมกันดูแลรักษาสมบัติของชาติไว้” นายอดิศักดิ์ฯ กล่าว.

///////////////ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ / นครราชสีมา