สู้โควิด-19 “อนุทิน” เผยรบ. สั่งปิดสถานบันเทิง ไม่เว้น “ฟิตเนส-นวดแผนโบราณ” ในกทม.และ6ปริมณฑล ต้องบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 14 วัน ให้สะอาด ส่วนตจว.ให้ผวจ.-สธ.จังหวัด ประเมินหน้างาน หากสุ่มเสี่ยง ให้สั่งปิดได้ ยันสธ.ไม่เคยปิดบังข้อมูล ลั่นทำงานเป็นหนึ่งเดียวไม่แ

17 มี.ค. 2563 -เวลา 15.15 น. ที่ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 ภายในทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ยืนยันว่าพวกเรามุ่งมั่นตั้งใจ และมีความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ในการควบคุมโรค ส่วนการรักษาพยาบาล การดูแลรักษา และการคัดกรองผู้ป่วย รวมถึงเวชภัณฑ์ยาต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2 เดือนครึ่ง เราพบผู้ติดเชื้อทุกราย และทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติตนเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ และมีการปรับตัวตามสถานการณ์ตามเหตุการณ์ที่เกิด เนื่องจากยังมีการเดินทางของผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงต้องป้องกันอย่างเต็มที่ ส่วนจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันเราสามารถหาต้นตอของการเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยได้ ขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากระทรวงสาธารณสุขปิดบังข้อมูลนั้น ยืนยันว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะข้อมูลที่มีก็เหมือนกับข้อมูลที่ประชาชนได้รับ และช่วงนี้กำลังเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ แต่ยังมีกลุ่มคนที่ประมาทไปสถานที่ที่ไม่ควรไป เช่น สนามมวย ซึ่งมีคนแออัดจำนวนมากและเป็นปัจจัยเอื้อให้มีการติดต่อ แต่ยังไม่ใช่การแพร่ระบาดในวงกว้างยังไม่เข้าสู่ระยะ3

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ครม.เห็นชอบมาตรการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการนำเสนอเข้าสู่ประเทศไทย ในส่วนของชาวต่างชาติที่ต้องเดินทางมาจาก 4 ประเทศกลุ่มเสี่ยงและ2 เขตปกครอง ต้องมีใบรับรองแพทย์ และต้องถูกกักตัว 14 วัน พร้อมทั้งให้ข้าราชการ พนักงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ งดการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดในประเทศ นอกจากนี้ให้เลื่อนวันหยุดสงกรานต์ระหว่างวันที่13-15 เม.ย.นี้ และหาวันหยุดชดเชยเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย รวมทั้งงดกิจกรรมที่มีการรวมตัวเกิน100 คนขึ้นไป การย้ายคนข้ามจังหวัด และให้ปิดสถานบันเทิงทุกชนิดเช่น ผับ บาร์ ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านนวดแผนโบราณ ในกทม.และ 6 จังหวัดปริมณฑล ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ มาตรา 35 (1) เพื่อให้ดำเนินการบิ๊กคลีนนิ่ง14 วัน ทำความสะอาดให้ถูกสุขลักษณะ นับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.เป็นต้นไป โดยขอให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือด้วย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนในพื้นที่อื่นที่จะต้องปิดทางอธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะเจ้าพนักงาน สามารถออกคำสั่งในส่วนที่เห็นว่ามีความเสี่ยง โดยจะแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สั่งให้ปิดได้ และเมื่อพ้นช่วงเวลา 14วันไปแล้ว สามารถพิจารณาว่าจะให้เปิดหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งปิดสนามมวย สนามชนไก่ สนามม้า สนามชนโคทั่วประเทศจนกว่าจะมีคำสั่งอื่นต่อไป นอกจากนี้ยังปิดโรงเรียน สถานศึกษา สถาบันกวดวิชา มหาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติ เป็นเวลา 2สัปดาห์ พร้อมขอความร่วมมือให้ปรับการเรียนการสอนเป็นระบบออนไลน์แทน ขณะที่การประชุมของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น การประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท ให้ใช้วิธีการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเร้น สำหรับสถานที่ราชการรัฐวิสากิจ สถานีขนส่งให้ใช้การคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายมีเจลล้างมือและหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกัน รวมทั้งทำความสะอาดภายในอาคาร ห้องสุขาตลอดเวลา

“ขอให้ประชาชนมั่นใจการปฏิบัติของกรมควบคุมโรคว่าไม่ได้ทำเพียงแค่รับมือไปวันๆ แต่เรามีหลักวิชาการทางการแพทย์ มีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษา ถือเป็นหน่วยปฏิบัติการ ซึ่งทุกคนมีกำลังและความสามารถเพื่อให้ปลอดภัยกับประชาชน ยืนยันว่าเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ โรงพยาบาลและหมอมีพร้อม สามารถประสานสั่งซื้อยาที่ยังขาดได้แล้ว และยังมีองค์การเภสัชกรรมที่สามารถผลิตยาเพื่อชะลอรักษาการเกิดโรคได้ อีกทั้งครม.อนุมัติงบเสี่ยงภัยให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 1,000-1,500 บาทต่อหนึ่งผลัดเวร เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน ขณะที่สมาคมประกันภัยมอบกรมธรรม์ประกันภัย 70,000 กรมธรรม์ สำหรับบุคลากรที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ยืนยันว่าเรามีความพร้อมและเป็นหนึ่งในการทำงาน ไม่มีข้อแตกแยกไม่ขัดแย้งในการทำงานตามที่มีกระแสข่าว” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามกรณีที่มีกระแสข่าวปิดกทม. นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่มีคนในรัฐบาลพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งการปิดมีเพียงการปิดสถานบริการเฉพาะกทม.และปริมณฑลเท่านั้น ตนได้สอบถามเรื่องของจากโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วยืนยันว่าไม่มีการพูดเช่นนั้น มีเพียงมาตรการที่เฝ้าระวังทำให้กทม.และปริมณฑลที่มีโอกาสจะแพร่เชื้อได้มากเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

เมื่อถามย้ำว่าสถานบริการที่ต้องปิด รวมถึงฟิตเนสออกกำลังกายด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เหงื่อ คือสารคัดหลั่งชนิดหนึ่ง และที่ต้องระวังคือเมื่อออกกำลังกายแล้วมีการหอบและเกิดละอองฝอยจากน้ำลายออกมา จึงต้องทำความสะอาดให้ถูกสุขอนามัยตลอดเวลา เพราะเมื่อมีการใช้อุปกรณ์ร่วมกันก็จะเกิดเชื้อโรคได้ง่าย

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการส่งต่อภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยแห่งหนึ่ง ไม่เข้าเก็บศพผู้เสียชีวิตสัญชาติจีนตกจากที่สูงภายในซอยเพชรบุรี47 เพราะกังวลเรื่องการแพร่เชื้อโควิด-19 ทางโซเชียลต่างๆ นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจผู้เสียชีวิต ถ้าทราบว่ามีปัจจัยสุ่มเสี่ยง เรามีวิธีการป้องกันตัวเองในการเข้าไปชันสูตร และในทางปฏิบัติไม่สามารถเกิดเรื่องแบบนี้ได้ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกยิงจนเลือดเต็มตัว เจ้าหน้าที่ไม่ไปดำเนินการเก็บให้เรียบร้อยคงทำไม่ได้

ด้านนพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมกรณีที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่กล้าเก็บร่างชายชาวจีนที่เสียชีวิตว่า ในกรณีดังกล่าวต้องขออภัย เพราะปกติแพทย์จะต้องประเมินว่าเป็นคนกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ถ้ามีความเสี่ยงจะต้องมีการประสานงานไปทางหน่วยงานที่เราอบรมไว้แล้ว เช่น เจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่ว่าบางช่วงอาจจะขาดอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ชุด PPE โดยตั้งแต่นี้ไปเราได้นำเรื่องมาหารือถึงการทำงาน คือหากพบว่ารายไหนมีความเสี่ยงจะนำมาตรฐานการเก็บศพมาใช้ ส่วนกรณีศพที่ไม่มีความเสี่ยงจะดำเนินการตามปกติ อย่างไรก็ตามในวันนี้ ( 17 มี.ค.) มีตัวเลขผู้ป่วยยืนยัน 177 ราย อยู่โรงพยาบาล 135 ราย ผู้ป่วยอยู่ในข่ายเฝ้าระวัง 2,457 ราย คือกลุ่มที่มีอาการไข้ ไอ ไม่สบาย หรือมีประวัติเสี่ยง และกลับบ้านแล้ว 4,583 ราย