“ศบค.” เผย ติดเชื้อ “โควิด-19” เพิ่ม 3 ราย เดินทางมาจาก “ตปท.” หนึ่งในนั้นเป็นทหาร “อียิปต์” พัก “โรงแรม” ใน “ระยอง” พบ ออกไป “ห้างฯ” เผยมีประวัติเดินทางไป “ปากีสถาน-จีน” ส่ง “ทีมสอบสวนโรค” ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยันไม่ปกปิดข้อมูล ปชช.รู้เท่า “ศบค.”
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโน่า 2019 (ศบค.) แถลงถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อว่า มีเพิ่ม 3 ราย โดย 2 ราย เป็นคนไทย เดินทางกลับมาจาก ประเทศคูเวต และบาร์เรน ซึ่งอยู่ในสถานกักกันของรัฐ และอีกคนเป็นทหารสัญชาติอียิปต์พบว่าเป็นลูกเรือที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยในวันที่ 6ก.ค. ออกจากสนามบินในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ มาที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ในวันที่ 7ก.ค.ออกจากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ไปปากีสถาน 8ก.ค.ถึงสนามบินอู่ตะเภา เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองระยอง
9ก.ค.ออกจากโรงแรมไปสนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหารที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน แล้วกลับมาในวันเดียวกัน จากนั้น 10 ก.ค. เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจคัดกรองทั้งคณะ31 รายและ 11ก.ค. คณะดังกล่าวเดินทางออกจากไทยกลับอียิปต์ โดยมีการส่งผลตรวจซ้ำ ปรากฎว่าผลตรวจออกมาในวันที่ 12 ก.ค.
“ต้องคุยกันมากในที่ประชุมศบค. แม้จะเป็นลูกเรือต่างชาติ ซึ่งการจัดที่พักให้นั้น มาตรการคุมเข้มยังมีข้อที่ต้องทบทวน ในการที่บินมาลงสนามบินอู่ตะเภา และพบว่า โรงแรมที่ระยองสัมผัสผู้พบเชื้อ มาตรการสอบสวนโรคจะครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด เพื่อให้การตรวจสอบเกิดขึ้นอย่างละเอียด และระหว่างสอบสวนโรคพบว่า ลูกเรือกลุ่มนี้ออกจากโรงแรมไปสถานที่บางแห่งในระยอง มีข้อมูลว่าเป็นห้างสรรพสินค้าในระยอง ซึ่งประชาชนได้ทราบข้อมูลเท่าที่ศบค.ทราบไม่ได้ปกปิด สำนักควบคุมโรคระยองร่วมกับทีมส่วนกลางเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ถ้าใครมีความเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยโทร 1422 จะได้ปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทหารชาวอียิปต์คนดังกล่าว เข้าประเทศมาในลักษณะของลูกเรือ ถือว่าเป็นหนึ่งใน 11 กลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถเข้าประเทศไทยได้ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 6) โดยจัดอยู่ในกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรตามภารกิจ และมีมาตรการรองรับในการกำกับดูแล.