สุวัจน์ฯ ชี้สภาพัฒน์ฯ ปรับลดจีดีพีไทยเป็นเรื่องปกติจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก แนะไทยควรเร่งสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจในประเทศก่อน เผยกรณีนายดล ลาออกจาก กมธ.ปปช.ไม่มีอะไรในกอไผ่ แค่อยากเปลี่ยนที่ทำงานใหม่เท่านั้น

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกาศปรับลด จีดีพี ประเทศไทยปี 2562 เหลือ 2.6 ว่า การปรับลดจีดีพี ก็เป็นเรื่องปกติของตัวเลขที่คำนวณออกมา ซึ่งเราอาจจะคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้จะบวกหรือลบ เมื่อผลออกมาเป็นเช่นไรก็ควรที่จะบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับองค์กร หรือรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งจีดีพีที่ถูกปรับลดลงมาก็มีหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น อาจจะเป็นยุคที่เศรษฐกิจโลกถดถอย เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา กรณีเบร็กซิต (Brexit) ของอังกฤษ และค่าเงินบาทที่แข็ง เป็นต้น จึงส่งผลกระทบกับธุรกิจภาคส่งออก รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง เพราะเมื่อค่าเงินบาทแข็งทำให้ต่างชาติไม่ค่อยอยากมาเที่ยวประเทศไทย เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นด้วย ดังนั้นเราต้องนำปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เพื่อมาปรับใช้ว่าประเทศไทยจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้พี่น้องในประเทศสามารถอยู่กันได้ ถ้าดูตัวเลขจีดีพีต้องมาดูว่าจะสามารถหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เช่นการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ หากอะไรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับประเทศชาติ ก็ควรดำเนินการเร่งด่วน

เพราะขณะนี้เรากำลังอยู่ในยุคปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่ 4 เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ดังนั้นประเทศไทยต้องพยายามทำเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็งก่อน เพราะที่ผ่านมาเราไปพึ่งพาแต่การส่งออกต่างประเทศ เมื่อต่างประเทศมีปัญหาเราก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงทันที แทนที่เราจะส่งเสริมเศรษฐกิจในต่างประเทศอย่างเดียว ก็ควรทำควบคู่กันไปทั้ง 2 อย่าง โอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ถ้าสิ่งใดดีก็ทำ แต่อย่าลืมโอกาสการลงทุนในประเทศด้วย เพราะการลงทุนในประเทศ ทำให้เราสามารถสร้างฐานการผลิต สร้างงานให้กับคนไทย และสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง เหมือนอย่างนโยบายชิมช้อปใช้ ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ ตนเห็นว่าดีมาก เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยได้ท่องเที่ยวในประเทศไทย เงินทองก็จะหมุนเวียนอยู่ในประเทศไทย และไม่รั่วไหลไปต่างประเทศด้วย เหมือนในอดีตที่เราเคยใช้คำว่า ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ แต่สิ่งหนึ่งที่ตนคิดว่าทุกรัฐบาลต้องดูแล คือเศรษฐกิจรากหญ้า คนยากคนจนพี่น้องเกษตรกร เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ถึงแม้ว่าตัวเลขจีดีพีจะถูกปรับลดลง แต่คนระดับรากหญ้าเขายังอยู่ได้ เมื่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้น เศรษฐกิจของไทยก็จะกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้พ้นสภาพการเป็น ส.ส.นั้น นายสุวัจน์ฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว ซึ่งตนก็ไม่มีความเห็นอะไร ส่วนเรื่องที่นายดล เหตระกูล เลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ กมธ.ป.ป.ช.นั้น ตนคิดว่านายดล อาจจะอยากไปทำงานที่กรรมาธิการคณะอื่น เพราะก่อนหน้านั้นก็เคยมาบอกกับตนว่าอยากจะออกไปทำอยู่กับคณะกรรมาธิการอื่น แต่บางทีการจัดตัวลงไปทำงานในคณะกรรมาธิการในช่วงแรก อาจจะไม่ลงตัวได้ไปอยู่ในคณะกรรมาธิการที่ปรารถนา เพราะแต่ละคนก็จะมีความถนัดที่แตกต่างกัน ซึ่งตนคิดว่าคงจะไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้.