อธิการบดี ม.ราชภัฏโคราช ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีภาพพระพุทธรูปอุลตร้าแมน พร้อมรับทุกคำวิจาร โอดคนฟ้องกองปราบน่าจะมาพูดคุยกันก่อน แต่เมื่อฟ้องแล้วก็พร้อมตั้งทนายความสู้คดีให้นักศึกษาและคณาจารย์

นครราชสีมา วันนี้ (13 กันยายน 2562) ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ผศ.ดร.อดิศร เนาว์นนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา พร้อมด้วยฝ่ายนิติกรของมหาวิทยาลัยฯ ได้ออกมาแถลงข่าวต่อกรณีผลงานศิลปะของนักศึกษา ชั้นปีที่ 4 สาขาศิลปศึกษา ที่ได้วาดภาพพระพุทธรูปในลักษณะเป็นอุลตร้าแมน จนกลายเป็นกระแสสังคมวิพากวิจารอย่างกว้างขวาง ถึงความไม่เหมาะสม อีกทั้งยังมีการแจ้งความกับกองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับตัวนักศึกษาเจ้าของผลงาน รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนอยู่ในขณะนี้

โดย ผศ.ดร.อดิศร เนาว์นนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า ภายหลังจากที่เรื่องนี้กระจายออกไปตามสื่อต่างๆ ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งในทางบวกและทางลบ ตนเองในนามของอธิการบดีฯ ซึ่งดูแลทุกเรื่องในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จึงต้องขอออกมาชี้แจงให้สังคมรับทราบใน 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องของภาพวาดพระพุทธรูปที่ออกสู่สายตาประชาชน ซึ่งกลายเป็นภาพที่สร้างความไม่สบายใจให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป ในมุมของผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ ก็จะได้มีการทบทวนชี้แจงให้นักศึกษา และคณาจารย์ทุกคนทราบว่า ก่อนที่จะวาดภาพศิลปะอะไรลงไป ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ควรที่จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีผลกระทบตามมาในภายหลังเหมือนเช่นเรื่องนี้ ส่วนเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทางมหาวิทยาลัยก็จะไม่เข้าไปตีกรอบบังคับอะไร พร้อมที่จะส่งเสริมให้มีอิสระทางความคิดผลงานที่สร้างสรรค์ต่อไป เพียงแต่จะต้องระมัดระวังในประเด็นที่เกี่ยวกับความอ่อนไหวทางสังคม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ 3 สถาบันหลักดังกล่าว แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นแล้ว ทางมหาวิทยาลัยในฐานะเป็นต้นสังกัด ก็ต้องดูแลนักศึกษา ไม่ว่าเขาจะทำเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ก็ต้องมีการเรียกมาว่ากล่าวตักเตือนให้ได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งตนได้สอบถามตัวนักศึกษาแล้วขณะนี้ก็มีกำลังใจดีอยู่

ประเด็นที่ 2 เรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องหลายส่วน เริ่มตั้งแต่นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ที่ได้นำนักศึกษา พร้อมทั้งคณาจารย์ไปพบเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ตนก็ต้องขอชื่นชมว่าทำถูกต้องแล้ว และไม่ได้เป็นการไปขอขมายอมรับความผิด เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้กับชาวพุทธในวงกว้าง ดังนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงได้นำผู้ที่เกี่ยวข้องไปพูดคุยชี้แจงกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด ตามหลักการปกครอง เพื่อให้เรื่องนี้เบาลงเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีกลุ่มชาวพุทธไปฟ้องกองปราบปรามเพื่อให้ดำเนินคดีกับนักศึกษา อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 4-5 คนนั้น ตนก็เคารพเพราะเป็นสิทธิ์ที่สามารถจะทำได้ เพราะคงจะมีความหวังดีต่อพระพุทธศาสนา เพียงแต่วิธีการที่จะสื่อสารกับนักศึกษา และกับมหาวิทยาลัยก็มีอยู่หลายช่องทาง ถ้าท่านเหล่านั้นมาติดต่อขอพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน ตนก็ยินดีพูดคุยและรับฟังทุกอย่าง แต่ในเมื่อท่านเหล่านั้นเลือกที่จะไปฟ้องต่อกองปราบปรามเพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็ไม่ว่ากันเพราะเป็นสิทธิ์ของท่าน

ส่วนอาจารย์เฉลิมชัยฯ ซึ่งทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าท่านเป็นปรมาจารย์ทางด้านศิลปะ การที่ท่านออกมาปกป้องผลงานของนักศึกษาก็ถือว่าเป็นมุมมองทางด้านศิลปะที่ไม่ผิดอะไร เพราะแม้แต่ศิลปินใหญ่อย่างอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็เคยถูกกระแสสังคมวิพากวิจารผลงานศิลปะอย่างรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง จึงไม่แปลกอะไร แต่ก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์เฉลิมชัย ที่ออกมาปกป้องนักศึกษา และผลงานศิลปะของนักศึกษาครั้งนี้

ขณะเดียวกัน กรณีที่นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ออกมาวิพากษ์วิจารนักศึกษาเจ้าของผลงานศิลปะอย่างรุนแรงนั้น ตนเองก็ได้โทรศัพท์สอบถามไปยังผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็ได้รับคำตอบมาว่า อย่าไปถือสาอะไรเลย เพราะกระแสสังคมทุกเรื่องต้องมีนางสาวปารีณาเข้าไปเกี่ยวข้องตลอดเป็นปกติอยู่แล้ว แม้กระทั่ง ส.ส.พรรคอนาคตใหม่บางคน ก็ยังนำเรื่องนี้ไปอภิปรายในรัฐสภา ซึ่งตนก็ต้องให้เกียรติและยอมรับในสิทธิของทุกคนที่สามารถทำได้

แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือปัญหาความแตกแยกทางความคิดในสังคม โดยเฉพาะสังคมดิจิตอลที่มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรงในโลกโซเชี่ยล แม้ว่าสื่อกระแสหลักจะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะยุงยงให้เกิดความแตกแยกในสังคมก็ตาม แต่เมื่อเผยแพร่ในโลกโซเชี่ยลแล้วกลับมีกระแสการถกเถียงก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกอย่างรุนแรง มีแต่ใช้อารมณ์ ความเชื่อ และความงมงาย ไม่มีความฉลาดในการควบคุมอารมณ์การใช้สื่อดิจิตอล หรือดีคิวเลย ซึ่งตนมองว่าสังคมไทยกำลังมีปัญหาแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลที่ช่วงแรกตนไม่อยากให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ซึ่งตนไม่ได้รังเกียจสื่อแต่เห็นว่าถ้ายิ่งพูดปัญหายิ่งลุกลามไปกันใหญ่ จึงไม่ออกมาพูดดีกว่า

ส่วนกรณีที่นักศึกษา และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย หลังจากที่ถูกฟ้องกองปราบปรามให้ดำเนินคดีทางกฎหมาย ถ้ามีการฟ้องร้องเป็นคดีจริงๆ ทางมหาวิทยาลัยก็พร้อมที่จะออกมาปกป้อง ด้วยการรับผิดชอบทั้งเรื่องทนายความ และค่าใช้จ่ายในการสู้คดีอย่างเต็มที่ จะไม่ปล่อยให้นักศึกษาหรือคณาจารย์ที่ถูกฟ้องต้องสู้เองเพียงลำพังแน่นอน ผศ.ดร.อดิศรฯ กล่าว.

///////ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ // นครราชสีมา