แกนนำคนเสื้อแดงโคราช รับได้หากเพื่อไทยจับมือพรรคขั้วอำนาจเดิมจัดตั้งรัฐบาล ชี้เป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้าย แต่สักวันหนึ่งประชาชนจะเข้าใจ
นครราชสีมา – วันนี้ (7 สิงหาคม 2566) ที่ชมรมคนเสื้อแดงโคราช ภายในตลาด CEO ต.หนองกระทุ่ม อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายวัฒนะชัย สืบศิริบุษย์ หรือจิ๋ว แกนนำคนเสื้อแดงโคราช ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำว่า การที่พรรคเพื่อไทยรับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยพูดไว้ชัดเจนแล้วว่า ขอเพียงได้เข้าไปเป็นรัฐบาลให้ได้ก่อน เพื่อที่จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริง ส่วน สว.ไม่ต้องรอถึง 10 เดือน เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ก็สรรหา สสร.เพื่อเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการ และเมื่อได้รัฐธรรมนูญใหม่ก็ประกาศยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ทันที ถึงตอนนั้น สว.ก็จะหมดวาระไปเอง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงเป็นผู้เสียสละทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าไม่เข้ามาเป็นรัฐบาลเราจะทำอะไรไม่ได้ ก็จะอยู่ภายใต้กลุ่มอำนาจเดิม ที่เราทนอยู่มานานถึง 9 ปีต่อไป
ส่วนใครจะยังยึดติดอยู่กับคำว่าเผด็จการนั้น ตนมองว่าเผด็จการได้หมดลงแล้ว เพราะทุกพรรคการเมืองที่เข้าสู่การเลือกตั้ง ถือว่าเป็นประชาธิปไตยกันหมด แต่การที่เรายังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะมีเงื่อนไขคือการที่พรรคก้าวไกลจะเข้าไปแก้ ม.112 ที่ขั้วอำนาจเก่ายอมไม่ได้ ถ้าจะให้รออีก 10 เดือน เพื่อให้ สว.หมดวาระลง ค่อยจัดตั้งรัฐบาล ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอมานั้น พรรคเพื่อไทยรอได้ แต่ขั้วอำนาจเก่าเขาจะรอหรือไม่ เขาจะจัดการเราอย่างไรบ้าง รวมทั้งเศรษฐกิจเรื่องปากท้องของชาวบ้าน ประชาชนก็รอไม่ได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งจัดตั้งรัฐบาลให้ได้โดยเร็ว แล้วนำกลุ่มคนในขั้วอำนาจเก่ามาอยู่ภายใต้การปกครองของเรา ดีกว่าเอาคนของเราไปอยู่ภายใต้การปกครองของขั้วอำนาจเก่า
และการจะไปจับมือกับพรรคขั้วอำนาจเก่าจัดตั้งรัฐบาลนั้น ตนมองว่าไม่ได้เป็นการทิ้งอุดมการณ์เดิมของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้มีแค่การไปเจรจากับพรรคขั้วอำนาจเก่าเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเชิญมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่สื่อนำไปจินตนาการว่าทุกอย่างเป็นไปตามนั้นแล้ว แต่ถ้าสมมติว่าจะเป็นจริงตามนั้น ด้วยกติกาที่เสียงเราไม่มากพอ เรามีความจำเป็นที่จะเอาเสียงของขั้วอำนาจเก่าเหล่านั้นเข้ามา เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ให้นายกรัฐมนตรีเป็นของพรรคเพื่อไทย และให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน หากเราไม่ยอมลดทิฐิบางอย่างลง กลัวโดนด่า กลัวสูญพันธุ์ กลัวจะไม่ได้เกิดในสมัยหน้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยรู้ดีในเรื่องเหล่านี้ แต่พรรคเพื่อไทยก็ยอมเสียสละเข้ามาทำการเมืองเพื่อคนรุ่นใหม่ เพื่อพรรคการเมืองใหม่ ถ้าไม่ทำเช่นนี้คนรุ่นใหม่ พรรคการเมืองใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดในอนาคตก็เกิดไม่ได้ เพราะกลุ่มอำนาจเก่ายังอยู่ ดังนั้นตอนนี้พรรคเพื่อไทยจึงยอมเสียสละ ยอมให้ถูกด่า แล้วสักวันหนึ่งประชาชนจะเข้าใจว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำวันนี้ ทำเพื่ออะไร ในเมื่อวันนี้เสียงเราไม่มากพอ ก็จำเป็นต้องไปดึงเสียงของทางอื่นมาเพื่อให้มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งเสียงที่ถึงมาอาจจะไม่ถูกใจประชาชนบางส่วน แต่ด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนี้ ก็ต้องทำอย่างนี้ถึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย กำลังถูกโจมตีอย่างหนักอยู่ในขณะนี้นั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะนายเศรษฐาฯ ก็เป็นนักธุรกิจ แล้วผันตัวเองมาลงเล่นการเมือง ก็จะมีขบวนการดิสเครดิตเป็นธรรมดา ซึ่งเรื่องที่ถูกโจมตีนั้น ตามข้อกฎหมายกรมที่ดินก็ออกมายืนยันแล้วว่าไม่ผิด และตนยังมั่นใจว่านายกรัฐมนตรี จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยแน่นอน ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย กลายเป็นพรรคลุงๆ ทั้งหลายที่มาจากเสียงข้างน้อย ตนเองก็ไม่ยอมแน่นอน เพราะจะหมายความว่า 9 ปี ที่เราทนอยู่มา เราจะอยู่ต่อไปอีกไม่รู้นานแค่ไหน แต่ถ้านายกรัฐมนตรีเป็นของพรรคเพื่อไทย โดยมีพรรคขั้วอำนาจเดิมเข้ามาร่วมอยู่ด้วยนั้น ตนเองก็ยอมรับได้ ด้วยความจำเป็นจากเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ให้เป็นเช่นนั้น ขอให้ตั้งรัฐบาลได้แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ อีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าพรรคก้าวไกลจะแลนด์สไลด์ก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไร
“ตอนนี้ในสายตาประชาชนมองว่า พระเอกคือพรรคก้าวไกล ส่วนผู้ที่สังคมตราหน้าว่าผู้ร้ายคือพรรคเพื่อไทย แต่สักวันหนึ่ง เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล และทำทุกอย่างตามเป้าหมายได้สำเร็จแล้ว ประชาชนทั่วประเทศจะรู้ว่าผู้ที่เสียสละมากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย” นายวัฒนะชัยฯ กล่าวทิ้งท้าย.
///ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ // นครราชสีมา