ทักษิณ ตัดขาด สัมพันธ์ “ฮุนเซน” ทำลูกผมขนาดนี้

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นแขกรับเชิญ ในรายการ 55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก กับ 4 ผู้นำทางความคิด ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท

นายทักษิณ เล่าว่า นายกฯอิ๊งค์ ไปที่โรสวูด เพื่อไปพบกับนายเคลียง ฮวด เพราเขาจะต่อสายให้คุยกับสมเด็จฮุน เซน ซึ่ง นายกฯอิ๊งค์ ก็ได้เชิญนายภูมิธรรม นายมาริษ นพ.พรหมมินทร์ มาอยู่ด้วยกัน เพื่อคุยกับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งนั่งรออยู่เกือบ 3 ชั่วโมง โดยเขาอ้างว่าหลับ ผมบอกลูกไม่ตัอวรอแล้ว คณะแยกย้ายกันกลับ แต่ต่อมา สมเด็จฮุน เซน โทรศัพท์มาที่เบอร์ อิ๊งค์ ก็ต้องรับสาย (สงสัยว่าอาจจะไม่ได้หลับ แต่เตรียมการอัดเทป) น่าเจ็บใจว่าเขาทำได้อย่างไร

“ผมพยายามสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นวะ คงไปเหยียบตาปลาอะไรเข้าสักอย่าง”

นายทักษิณ เล่าว่าในวันที่เขาถอนกำลัง และต่อมามีการรายงานว่ามีการเคลื่อนกำลังของเขมร กว่าหมื่นนาย ไปที่ชายแดน

“ผมรู้สึกโกรธมาก และโทรไปหานายฮวดว่า “ฮวด เฮ้ย !!มึงบอกเจ้านายมึงสิ ไม่อยากพูดเอง พูดไปเดี๋ยว เกิดอารมณ์คุมไม่อยู่ ไปบอกเลยนะ ตกลงลูกเราเป็นผู้นำทั้ง 2 ประเทศ เราจะทำสงครามกันใช่มั้ย“

นายทักษิณ เล่าถึง ปฏิบัติการโปเชนตงด้วยว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นเพื่อนกับสมเด็จฮุน เซนแล้ว แต่ถือว่าเรื่องประเทศเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เหมือนกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น คือการสร้างกระแสรักชาติ

”เขาไม่ใช่ทำลายเรา เขาทำลายตัวเอง เพราะความน่าเชื่อถือ ไม่มีแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคบ และไม่มีใครเข้าไปพูดด้วยแล้ว เพราะไม่รู้ว่าพูดจะโดนอัดเทปด้วยหรือไม่ “

เมื่อถามต่อว่า ตั้งแต่มีการปล่อยคลิปออกมา จนเป็นกับดัก น.ส.แพทองธาร ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซนหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่รู้จะคุยทำไม ผมส่งข้อความไปอันเดียวว่า สิ่งที่คุณทำแบบนี้ มันเสียหายทั้งคุณทั้งเรา และไม่ตอบอีกเลย”

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ส่วนจะทำให้ปัญหาชายแดนบานปลายหรือไม่ ตนไม่เคยคิดว่าจะบานปลาย ซึ่งวันที่ตนโทรไปโวยวาย เขาถามกลับมาว่าจะให้เขาทำอย่างไร ตนจึงบอกให้เขาถอนกำลัง และเขาก็บอกว่าจะอนุญาตให้ทหารเขมรที่อยู่ชายแดนพูดคุยกับทหารไทย และจะนำไปสู่การเจรจา JBC

แต่บังเอิญว่าทหารเขามีกำหนดไว้แล้วว่าจะปิดด่าน เขาจึงโกรธว่า ถอนทหารแล้ว แต่เราปิดด่าน และโกรธที่ นายกฯ บอกว่า ไม่เป็นมืออาชีพ

แต่ที่สำคัญคือ วันนี้เรากับกัมพูชาไม่อยู่ในสถานะประกาศสงครามต่อกัน เป็นเพียงแค่ความขัดแย้งชายแดน ฉะนั้น ทุกอย่างยังพูดคุยกันได้อยู่

“ผมสนิทกับสมเด็จฮุน เซน มากเลย สนิทจริงๆ ผมก็คิดไม่ถึงว่าคนสนิทกันขนาดนี้เป็นแบบนี้ แต่แน่นอนว่าถึงเวลาปัญหาประเทศมา ผมถือปัญหาประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือไม่ ผมว่าสงสัยต่างคนต่างลืมชื่อกันไปแล้ว“

ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับการเมืองไทยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า คนไม่รู้ แต่รู้ว่ามีเส้นเงินจากไทยในเรื่องแรงงานไปยังไปปรึกษาแรงงานของเขมรส่วนหนึ่ง และมีการโอนไปโอนกลับประมาณ 1 ร้อยกว่าล้านบาท ซึ่งมีนาย ก.เกี่ยวข้องกับแรงงานให้กับที่ปรึกษารัฐมนตรีแรงงานฝั่งนู้น

พิธีกรถามว่าความสัมพันธ์ 30 กว่าปีแตกหักเพราะเรื่องนี้หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า ตนก็ไม่เคยไปทำอะไรให้เขาโกรธ ถ้าจะโกรธก็เพราะคงเรื่องนี้ ตนให้เกียรติเขา ซึ่งเขาก็ให้เกียรติตน เรียกตนว่าพี่ชาย ส่วนที่บอกว่า ป่วยไม่จริงนั้น เขาอยากจะพูดไรก็พูดไป ซึ่งคนไทยก็แปลก ที่มีคนเข้าข้างเขมรส่วนหนึ่ง ซึ่งควรไปเข้ากูเกิ้ลดูว่าพญาละแวกคือใคร จะได้เข้าใจมากกว่านี้

และยืนยันว่า การเจรจาไม่ควรมีประเทศที่สาม ส่วนจะเจรจากันอย่างไร เพราะไม่คุยกันแล้วนั้น ก็ไม่เป็นอะไร ดำน้ำแข่งกัน ใครอึดกว่าคนนั้นชนะ

ส่วนที่ผ่านมาเป็น สทร. ส่วนเรื่องชายแดนจะสามารถเป็น สทร.ทำให้เรื่องยุติ ทำให้ความไม่ปลอดภัยชายแดนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ความจริงเรื่องไม่ได้ใหญ่ เรื่องนิดเดียว

พิธีกรถามว่า เรื่องนี้ใหญ่เพราะไปคุกคามทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ กล่าวว่า เราชอบเล่นงานกันเอง เราไม่ได้คิดว่าการทำแบบนี้ของผู้นำ ซึ่งไม่ผู้นำไม่ใช่สมเด็จฮุน เซน แต่เป็นลูกชาย ซึ่งการคุยกับฮุน เซนไม่ผู้นำคุยกับผู้นำ แต่เป็นการพูดคุยในฐานะคนคุ้นเคย แต่หวังว่าจะทำให้เขาใจอ่อนเพื่อจะได้ช่วยกัน ซึ่งนักธุรกิจเวลาเจอมีสองมุมคือ การประนีประนอม และเจรจาแบบรุนแรง ซึ่งเราใช้การประนีประนอม เพราะเรารู้จักกัน ไปมาหาสู่กัน ซึ่งเรียกเป็นอังเคิล เป็นบราเดอร์กันอยู่ ซึ่งไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ต้องขอโทษพี่น้องว่าเป็นความผิดพลาดที่คบคนแบบนี้

“วันนี้ไม่ต้องห่วงไม่มีสงครามแน่นอน ไม่มีความขัดแย้งถึงขนาดรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งตอนนี้ต่างคนต่างฟอร์มก็ดำน้ำแข่งกันใครอึดกว่าคนนั้นชนะ” นายทักษิณ กล่าว

ส่วนที่คนมีการประเมินสิ่งที่น.ส.แพทองธาร พูดและมีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการพูดที่ขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายทักษิณ กล่าวว่า ตรงข้าม อาจเป็นตรงข้ามความคิดก็ได้ หรือตรงข้ามการฝักใฝ่ทางการเมืองก็ได้

ซึ่งเรายังไม่ได้ประกาศสงคราม จึงไม่ได้หมายความว่าเราเข้าข้างศัตรู แต่การเจรจาเพื่อให้เกิดความอ่อนน้อมความโน้มน้าว สามารถเจรจาได้หลายแบบ ซึ่งเป็นการเจรจาที่ไม่เป็นทางการ และเป็นเรื่องที่เขาโทรเข้ามา โดยที่เราเตรียมการคุยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่เขาเจ้าเล่ห์มาทำแบบนี้