สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ชี้ศึกข้างหน้าใหญ่หลวง มอง 4 เดือนจากนี้คือ ‘โอกาสทอง’ พรรคการเมืองต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า
วันที่ 24 ตุลาคม 2568 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ “มติชนออนไลน์” มองสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองไทยในช่วงรัฐบาลรักษาการของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมีวาระเพียง 4 เดือน ว่าเป็น “ช่วงเวลาสำคัญและโอกาสทอง” ทั้งต่อรัฐบาลและพรรคการเมืองทุกพรรค ก่อนเข้าสู่ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่
เศรษฐกิจไทยยืนอยู่บน “หน้าผาทางการคลัง”
นายสุวัจน์ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความผันผวนรุนแรงจากสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีทรัมป์ และเทคโนโลยีเอไอที่สร้างผลกระทบทั่วโลก ขณะที่ไทยยังประสบปัญหาเศรษฐกิจโตต่ำต่อเนื่องเฉลี่ยไม่ถึง 2% มานานเกือบ 20 ปี ขณะเดียวกันเอสเอ็มอีอ่อนแรงหลังวิกฤตโควิด และต้องเผชิญการแข่งขันจากมาตรฐานกรีนอีโคโนมีที่เข้มข้นขึ้น
“เรากำลังเดินไปสู่หน้าผาทางการคลัง หนี้สาธารณะชนเพดาน 65% ของจีดีพี ขาดดุลงบประมาณกว่า 4.5% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 3% แล้ว หากไม่เร่งแก้ไข จะกระทบเครดิตเรตติ้ง การกู้เงิน และงบลงทุนของประเทศ” สุวัจน์กล่าว
เสนอ 5 ภารกิจด่วนรัฐบาลอนุทินใน 4 เดือน
นายสุวัจน์ เสนอแนวทาง 5 เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรทำทันทีในช่วง 4 เดือนที่เหลือ ได้แก่
1.แก้ผลกระทบภาษีทรัมป์ เพื่อป้องกันการส่งออกทรุดและฐานการลงทุนโยกย้าย
2.ฟื้นการส่งออก โดยรักษาตลาดเดิมและขยายตลาดใหม่ในกลุ่ม Global South
3.กระตุ้นการท่องเที่ยว โดยฟื้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน และรื้อโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพื่อดึงเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจรากหญ้า
4.เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจเร็ว
5.ฟื้นฟูเอสเอ็มอี ในฐานะโซ่ข้อกลางสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย
มองการเมือง 4 เดือนนี้คือ “โอกาสทอง” ก่อนศึกใหญ่
สุวัจน์ มองว่า ช่วง 4 เดือนนี้คือ “โอกาสทอง” ของทุกพรรคการเมืองในการเตรียมพร้อมก่อนการเลือกตั้ง โดยระบุว่า “ศึกข้างหน้าใหญ่หลวงนัก” พรรคการเมืองต้องใช้เวลาออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจและสถานการณ์โลก ไม่ใช่พึ่งประชานิยมเหมือนที่ผ่านมา เพราะไทยกำลังยืนอยู่บนขอบเหวทางการคลัง
“เราต้องคิดนโยบายที่สร้างรายได้รัฐ เพิ่มการลงทุน ทำให้เอสเอ็มอีอยู่รอด ประชาชนมีงานทำ” เขากล่าว พร้อมระบุว่าการเมืองรอบใหม่อาจเปลี่ยนจากระบบสองพรรคใหญ่ เป็น “การเมืองสามเส้า” หรือ “สามก๊ก”
ภารกิจใหญ่ของรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง
สำหรับรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง สุวัจน์เสนอแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว 6 ประการ ได้แก่
1.ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องมาตรฐานสิ่งแวดล้อม-สิทธิมนุษยชน-เน็ตซีโร่
2.ยกระดับเอสเอ็มอี ให้แข่งขันได้ในโลกยุคเอไอ
3.รับมือสังคมผู้สูงอายุ ด้วยการขยายอายุแรงงานและอัพสกิลผู้สูงวัย
4.ปฏิรูปการศึกษาไทย โดยเฉพาะด้าน STEM ซึ่งไทยติดอันดับท้ายในกลุ่ม OECD
5.พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ระดับโลก เช่น เมดิคัลฮับ เวลเนสฮับ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือสำราญ
6.ยกระดับสินค้าเกษตรไทย จากสินค้าแปรรูปสู่สินค้าเทคโนโลยีมูลค่าสูง
ย้ำรัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ – นายกฯต้องครบเครื่อง
สุวัจน์ ย้ำว่า ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มี “เสถียรภาพสูง” เพื่อสร้างความต่อเนื่องเชิงนโยบายและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน “ดูสิ สภาชุดนี้ 2 ปี นายกฯ 3 คน มันสะท้อนถึงเสถียรภาพที่อ่อนแอมาก” เขากล่าว พร้อมชี้ว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องเข้าใจเศรษฐกิจ การต่างประเทศ และมีบารมีประสานทางการเมืองได้
หนุนแก้รัฐธรรมนูญ – เพื่อให้การเมืองรับมือเศรษฐกิจได้ทัน
สุวัจน์ เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญควรทำโดยยึดหลัก “เพิ่มเสถียรภาพและความยืดหยุ่น” ให้การเมืองเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ทันท่วงที ไม่ติดขัดข้อจำกัดทางกฎหมายในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว

ฝากกำลังใจถึง “นายกฯ หนู”
ในฐานะผู้ที่ “ให้กำเนิดทางการเมือง” แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล สุวัจน์กล่าวให้กำลังใจว่า
“ท่านอนุทินเป็นคนน่ารัก กตัญญู ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ วันนี้เดินมาถึงจุดนี้ก็ขอให้ประสบความสำเร็จ เชื่อว่าท่านรู้ดีว่าอะไรควรทำ อะไรควรหลีกเลี่ยง ขอเพียงเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ทั้งภาษีทรัมป์ การส่งออก การท่องเที่ยว และช่วยเอสเอ็มอีให้รอด”
สุวัจน์ ย้ำมอง 4 เดือนจากนี้ คือช่วงเวลาชี้ชะตา ทั้งรัฐบาลอนุทินและพรรคการเมืองไทย ก่อนเข้าสู่ศึกเลือกตั้งใหญ่ ชี้รัฐบาลใหม่ต้องมาพร้อมเสถียรภาพสูง เพื่อพาประเทศผ่าน “หน้าผาทางการคลัง” และวางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืนในยุคเอไอและกรีนอีโคโนมี.