เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมภาคอีสาน เชื่อเพื่อไทยทิ้งก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลไม่ง่าย นักลงทุนห่วงการผสมพันธุ์ข้ามขั้วและพรรคร่วมจำนวนมาก จะทำให้เกิดความวุ่นวายในสภา และรัฐบาลจะอยู่ได้ไม่นาน

นครราชสีมา – วันนี้ (3 สิงหาคม 2566) นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหลือ ได้แสดงความคิดเห็นว่า ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศว่าจะจัดตั้งรัฐบาลโดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย ก็ทำให้ภาคเอกชนเฝ้าจับตามองว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะเมื่อวานนี้ (2 ส.ค.) พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเชิญพรรคใดมาร่วมรัฐบาลบ้าง เนื่องจากการผลักพรรคก้าวไกลออกไปจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เสียงของ ส.ส.หายไปมากถึง 151 เสียง ดังนั้นต้องหาเสียง ส.ส.จากพรรคอื่นมาเพิ่มอีก เพื่อให้ได้ใกล้เคียงกับเสียงที่หายไป โดยต้องรอฟังว่าวันนี้พรรคเพื่อไทย จะสามารถพูดคุยตกลงกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้เข้ามาได้อีกกี่พรรค ถ้าเชิญทุกพรรคเข้ามา โดยเฉพาะ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ที่เป็นขั้วอำนาจเดิม มาผสมพันธุ์ข้ามขั้วแบบนี้ ตนเองมองว่าพรรคเพื่อไทยจะเสียหายมาก ซึ่งตนเชื่อว่าไม่น่าจะพูดคุยกันได้ภายใน 2-3 วันนี้แน่นอน เมื่อยังพูดคุยกันไม่จบ การโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยก็อาจจะไม่กล้าที่จะส่งนายเศรษฐา ทวีสิน เข้าไปเสี่ยงแน่นอน เพราะถ้าโหวตไม่ผ่านแล้ว ก็จะไม่สามารถโหวตได้อีกแล้ว เหมือนกรณีของนายพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล

อีกอย่างการที่พรรคเพื่อไทย โฟกัสไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายเร่งด่วนนั้น ก็ไม่ได้ตอบโจทประชาชนแต่อย่างใด เพราะประชาชนคาดหวังไว้กับพรรคเพื่อไทยว่าอยากจะให้เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า ขณะเดียวกันถ้านโยบายการขึ้นค่าแรงมา ภาคเอกชนก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะหาเงินจากไหนมาช่วยพยุงเศรษฐกิจ เพราะเงินจากรัฐบาลชุดเดิมก็เหลือน้อย มีทางเดียวก็ต้องไปกู้ต่างชาติเพิ่มอีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับหนี้สินของประเทศมาก ดังนั้นพรรคเพื่อไทยต้องเร่งทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นก่อน

ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยออกมาประกาศเช่นนี้ ภาคเอกชนมีความรู้สึกวิตกกังวลกันมากว่า รัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะจะเป็นรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองผสมอยู่หลายพรรคเกินไป อาจจะเกิน 10 พรรคด้วยซ้ำ เมื่อมีพรรคการเมืองมากขนาดนี้ ก็จะทำให้การบริหารประเทศไม่มีเอกภาพ นโยบายต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้กับประชาชน ก็จะทำให้สำเร็จได้อยาก เพราะเสียงของพรรคเพื่อไทยไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นกระทรวงสำคัญๆ ครึ่งหนึ่ง จะตกไปอยู่ในมือของพรรคการเมืองอื่นที่เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เป็นขั้วอำนาจเดิม เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคภูมิใจไทย ที่มีหลายนโยบายของพรรคเพื่อไทย ต้องการที่จะเข้ามาแก้ปัญหาที่รัฐบาลชุดเดิมเคยทำไว้ ถ้าเขายอมให้แก้ปัญหาเหล่านั้น ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าตัวเองบริหารผิดพลาดไป ดังนั้นการผสมพันธุ์ข้ามขั้วแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น และอาจจะทำให้รัฐบาลชุดใหม่อยู่ได้ไม่นาน ตนเองคาดว่าอย่างมากอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี หรืออาจจะ 1 ปีด้วยซ้ำ เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีความเสถียรภาพเช่นนี้ นักธุรกิจ นักลงทุนต่างๆ ก็รู้สึกกังวลใจ และจะส่งผลกระทบทำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในระยะ 1-2 ปีนี้แน่นอน.

ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ // นครราชสีมา