ยืนยันแล้วผู้ต้องขังติดเชื้อ “โควิด” เปิดประวัติเคยใกล้ชิดครอบครัวในคอนโด ย่านบางมด ทำงานผับชื่อดัง 2 แห่ง
เมื่อเวลา 17.45 น.ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.วีระกิตต์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนพ.เมธิพจน์ ชาคะเมธีกุล ผอ.กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีผู้ต้องขังชายไทย ตรวจพบเชื้อโควิด19 อยู่ระหว่างกักตัว ก่อนเข้าแดนในเรือนจำ
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กล่าวว่า เราพบผู้ต้องหาชายที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าไปในแดนปกติของเรือนจําทัณฑสถานบําบัดพิเศษกลางติดเชื้อไวรัสโควิด เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยผ่านระบบการตรวจโดยกรมราชทัณฑ์ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นมา เมื่อกระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานจึงได้ตรวจสอบโดยห้องปฏิบัติการ 2 แห่งและยืนยันว่าเป็นการติดเชื้อจริง ทำให้ในวันนี้ได้ส่งทีมกรมควมคุมโรค สำนักอนามัย และกรมราชทัณฑ์ลงไปสอบสวนที่เรือนจำและโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์
“ผู้ป่วยรายนี้มีอาการตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.โดยมีไข้และเสมหะ แต่อาการไม่ได้ชัดเจนอะไร แต่เมื่อถึงการเก็บตัวอย่างมี่โพรงจมูกในวันที่2 ก.ย.จึงได้พบเชื้อ โดยจากการตรวจสอบประวัติในรอบ 14 วันพบว่าเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวที่คอนโดบ้านสวนธน พุทธบูชาบางมด ซึ่งในครอบครัวผู้ป่วยมีผู้อยู่ในกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ 5 คน จะมีการแยกกักกันต่อไป“แพทย์หญิงวลัยรัตน์
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อซึ่งทำงานเป็นดีเจยังทำงานที่ร้าน 3 วัน 2 คืน ในสาขาพระราม 3 และสาขาพระราม 5 หากผู้ที่เดินทางไปร้านใส่หน้ากากอนามัยและไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดก็ไม่เป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง แต่กลุ่มที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะอยู่ในกลุ่มที่ผู้ติดเชื้อรายนี้ขึ้นศาลประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นทนายความ เจ้าหน้าที่เรือนจำ นีกโทษที่ตัดสินคดี และนักโทษที่ร่วมรถโดยสารด้วยกัน ซึ่งจะถูกแยกกักกันต่อไป ขณะที่ในเรือนจำได้แยกผู้ต้องขังแรกรับซึ่งเดินทางมาในวันเดียวกันอีก 34 คนโดยได้ตรวจเชื้อครบทั้ง 34 คนแล้วไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด
ขณะที่ นพ.วีระกิตต์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า เรือนจำดังกล่าวมีผู้ต้องขังกว่า 8 พันคน แต่ในส่วนผู้ต้องขังใหม่รายนี้ โดยมีผู้ต้องขังนอนร่วมกัน 34 คน รวมเป็น 35 คน และมีอาสาสมัครดูแลอีก 2 คน ซึ่งทั้งหมดส่งตัวไปกัก เฝ้าดูอาการที่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นอาคารแยกเดี่ยวจากตึกใหญ่ เพื่อรอผลยืนยันตามช่วงเวลาของโรคแล้ว
ด้านนพ.เมธิพจน์ ชาคะเมธีกุล ผอ.กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า กทม.ได้ลงสอบสวนโรคตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าไปยังเรือนจำ บ้านของผู้ป่วย และศาล ซึ่งที่บ้านมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 5 ราย ได้เก็บสิ่งส่งตรวจและไปตามสถานที่ทำงานผู่ป่วย โดยดำเนินการให้ปิด ทำความสะอาด 3 วัน และสอบผู้ใกล้ชิดในที่ทำงานทั้งหมด แยกกลุ่มเสี่ยงสูงเสี่ยงต่ำ เก็บสิ่งส่งตรวจและแยกกักกัน โดยกรมราชทัณฑ์ได้สอบสวนโรคร่วมกับกรมควบคุมโรค และบ้านผู้ป่วย ซึ่งตามได้ 5 รายจาก 7 ราย เนื่องจากอีก 2 ราย อยู่ต่างจังหวัด หากเดินทางกลับมาจะเก็บสิ่งส่งตรวจต่อไป
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า สำหรับการตรวจครั้งนี้เป็นการพบผู้ต้องขังติดเชื้อระหว่างกักกัน ก่อนเข้าสู่แดนปกติของทัณฑสถาน เป็นการติดเชื้อภายในประเทศหลังผ่านมา 100 วัน ที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ นายกฯ และรมว.สาธารณสุข กำชับว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนให้ครบถ้วน โดยไม่ปกปิดแต่เน้นการสื่อสารให้ประชาชน ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่าง เคร่งครัดสม่ำเสมอ
ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุการพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาจากไหน นพ.สุวรรณชัย ระบุว่าอยู่ระหว่างการสอบสวน ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ไปทำงาน ไปคาเฟ่ ย่านถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นที่ทำงาน ดูย้อนหลังไป 14 วัน ดูจากคนใกล้ชิด ใครป่วย หรือติดเชื้่อ หากไม่พบว่าใครติดในชุดแรก ก็ต้องย้อนขึ้นไปอีก
เมื่อถามว่า ผู้ต้องขังเคยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อสู้คดีชั้นอุทธรณ์ ในช่วงปล่อยตัว ถึงมาฟังพิพากษาระยะเวลานานแค่ไหน นพ.วีระกิตต์ ระบุว่า ผู้ต้องขังมาฟังคำตัดสิน 26 ส.ค.ที่ศาล และได้รับโทษจำคุก 2 ปี ได้ถูกควบคุมตัวในเวลา 10.00 น. เข้าเรือนจำระยะเวลาตั้งแต่นั้น จนถึงเย็น มีคนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระหว่างควบคุมตัว เกือบ 20 คน
ต่อข้อถามว่า สถานที่ทำงานของผู้ต้องขังมีกี่แห่ง นพ.สุวรรณชัย ระบุว่า ย่านถนนข้าวสาร เพิ่งได้ชื่อ มีไทม์ไลน์ไล่เรียง ซึ่งต้องสอบย้อนหลัง 14 วัน บุคคลที่ในสถานที่ทำงาน และคนที่ไป ซึ่งบุคคลก็ต้องกลับไปทบทวนว่า คุยกันโดยไม่สวมแมสก์หรือไม่ หากห่างไม่เกิน 1 เมตรอาจจะเสี่ยงสูง ให้สังเกตตัวเองก่อนว่ามี อาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส มีไข้ร่วม หากสงสัยให้ไปตรวจได้ใน รพ.
เมื่อถามว่าในประเทศเสมือนมีเชื้อแฝงหรือไม่ เพราะรายนี้ไม่ได้ไปต่างประเทศ นพ.สุวรรณชัย ระบุว่า ที่บอกว่าเราไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศนั้น เราใช้คำว่า “ไม่มีรายงาน” ในการสื่อสารกับประชาชนมาโดยตลอด ถ้าคนทั้งสังคมปฏิบัติตามมาตรการ แม้จะมีผู้ติดเชื้อที่ส่วนใหญ่ มากกว่า 80 เปอร์เซ็น ไม่มีอาการก็จะทำให้ลดโอกาสติดเชื้อระหว่างกันต่ำมากๆ เมื่อไหร่ที่เลิกผ่อนคลาย พฤติกรรมการป้องกันควบคุม ก็มีโอกาสจะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นตามลำดับ เพราะตอนนี้เราผ่อนคลายกิจกรรม ผู้คนมาพบปะกันมากขึ้น ถ้าคงไว้มาตรการป้องกันระดับสูงแม้จะมีกิจกรรมแออัดขึ้น โอกาสจะแพร่เชื้อระดับต่ำ เราพยายามสื่อสารตลอดว่า การ์ดอย่าตก กรณีรายนี้ยืนยันการสื่อสารอย่างนี้มาตลอด เราพยายามเน้นว่า คงไม่ได้อยู่กับตัวเลข 0 ตลอด หากพบก็จะต้องตรวจให้ได้เยอะสุด แต่จะตีกรอบในวงจำกัด ฉะนั้นให้ตระหนักกรณีนี้ อย่าตระหนก
เมื่อถามว่า มีโอกาสเป็นจุดเริ่มต้นระบาดรอบสอง หรือไม่ ขณะที่คนจากประเทศเพื่อนบ้านก็ลอบเข้ามา มีโอกาสนำเชื้อเข้ามา นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การเกิดโรคระลอกสองมี 2 ลักษณะ การพบผู้ป่วยติดเชื้ออย่างกรณีนี้ ส่วนที่สองการระบาด ซึ่งเราพบกรณีแรกส่วนการระบาด เราสอบสวนโรคเพื่อตีกรอบ ถ้าเราช่วยกันทุกหน่วยงาน บุคคลในสังคม เชื่อว่าจะไม่หนักไปถึงการระบาด
เมื่อถามว่า ร้านที่เป็นสถานที่ทำงานของผู้ต้องขังรายนี้ เป็นรูปแบบใด ความเสี่ยงต่างกันหรือไม่ นพ.เมธิพจน์ ระบุว่า ถ้าร้านปิดอากาศไม่ถ่ายเทก็ต่างแน่นอน รายนี้เป็นดีเจ โอกาสแพร่ไม่เยอะ ไม่ได้ตะโกนร้องเพลง
ขณะที่ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ผู้ต้องขังรายนี้ เป็นผู้ต้องขังรับใหม่เข้ามาอยู่เรือนจำได้เพียง 8 วัน และยังอยู่ระหว่างการแยกกักโรค 14 วัน ตามมาตรการของกรมราชทัณฑ์ ไม่ได้สัมผัสกับผู้ต้องขังเก่าในเรือนจำแต่อย่างใด กรมราชทัณฑ์ ยังคงมีมาตรการใน การควบคุมและป้องการการแพร่ระบาดของโรคโควิด ภายในเรือนจำอย่างเคร่งครัดต่อไป