สศช.แจงหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่า50%กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ชี้เนื่องจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่วนการชำระหนี้ไม่น่ากังวล แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
12ธ.ค.61-นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงแนวโน้มหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2/2561 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดระบุว่าภาพรวมหนี้ครัวเรือนมีมูลค่ารวม 12.34 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น57%เทียบกับ3.8 %และ4.6%ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ ว่า ส่วนหนึ่งภาระหนี้ครัวเรือนมากขึ้นมาจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ รวมทั้งขณะนี้ความต้องการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เร่งตัวขึ้นตั้งแต่กลางปี 2560 ภายหลังสิ้นสุดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ครบ 5 ปี ตามโครงการคืนภาษีรคถยนต์คันแรก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี พบว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างช้า ๆ จากสูงสุด 80.8%ปี 2558 มาอยู่ที่ 77.5%ไตรมาส 2/2561 และยังพบว่าวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ครัวเรือนมากกว่า50%กู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรหรือที่อยู่อาศัย โดยข้อมูลของธนาคารพาณิชย์พบว่าไตรมาส 3/2561 สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 73 %ของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ให้ครัวเรือน เพื่อกู้ยืมซื้อที่ดินอยู่อาศัย
อย่างไรก็ตามแม้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น แต่ความสามารถชำระหนี้ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากไตรมาส 3 /2561 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)เพิ่มขึ้น 7.8%แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวลงจาก 10.3% จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สศช.พบว่าหนี้ครัวเรือนยังมีประเด็นต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากตัวเลขภาระหนี้ขณะนี้หากมีปัจจัยภายนอกมากระทบอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ได้
นางชุติมา กล่าวว่าส่วนปัจจัยอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลกระทบการชำระหนี้ของลูกหนี้หรือไม่นั้น ต้องติดตามภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปี 2561 ซึ่งจะสามารถบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการชำระหนี้หรือไม่
นางชุตินาฏ กล่าวถึงกรณีแถลงข่าวด่วนวันนี้ 12 ธ.ค.นี้ เป็นคำสั่งจากรัฐบาลให้ชี้แจง หลังมีตัวเลขออกมาแล้วทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่นหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีใบสั่งจากผู้ใด แต่เนื่องจากต้นเดือนธันวาคมมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาระหนี้ออกมาจากหลายสำนัก จึงต้องการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ยืนยันว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายในสังคมต้องตระหนักและสร้างวินัยการใช้จ่าย ซึ่งต้องปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่เยาวชนไม่ให้มีค่านิยมใช้จ่ายเกินรายได้ หรือนำเงินอนาคตมาใช้โดยไม่จำเป็น โดยขอให้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักการดำเนินชีวิต.