เวียนเทียน มาฆบูชา เจดีย์หลวงตามหาบัว ตามบุญกับ พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567
พระราชวชิรธรรมาจารย์ วิ. (พระอาจารย์สุธัม สุธัมโม )เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด กล่าวว่าวันมาฆบูชา เป็นวันที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ หัวใจของพระพุทธศาสนา ในวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระอรหันต์และสาวก 1,250 มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ตรงกับ วันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา จึงเป็นวันที่อัศจรรย์อย่างยิ่งในพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงเห็นพ้องแล้วว่าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ได้มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และประการหลักคำสอน 3 ประการ คือ 1.การไม่ทำบาปทั้งปวง 2.การทำกุศลให้ดีพร้อม 3.การทำจิตของตนให้ผ่องใส เราจะเห็นชัดเจนว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธทั้งหลายควรน้อมนำเอาไปปฏิบัติก็จะนำพาไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

“ฉะนั้น วันนี้ พวกเราชาวพุทธทั้งหลายควรจะรีบเร่งแสวงหาบุญกุศลอบรมจิต อบรมกายวาจาใจของตนเองในวันสำคัญทางพุทธศาสนา สะสมบุญ ตักบาตร ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมเป็นการสร้างมงคลแห่งชีวิตอย่างแท้จริง”

“วันนี้ เป็นวันพิเศษได้รับเกียรติจากสองศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร,อาจารย์วรรณี ชัชวาลทิพากร และคุณทวีชัย เจาวัฒนา มูลนิธิภาพถ่ายแห่งประเทศ นำโดย คุณสุจินตนา จรรยาทิพย์สกุล ประธานมูลนิธิเก้า ยั่ง ยืน มาบันทึกภาพกิจกรรมในวัดป่าบ้านตาด โดยเฉพาะค่ำคืนนี้ในพิธีการเวียนเทียน วันมาฆบูชา จะเป็นภาพประวัติศาสตร์ของวัดป่าบ้านตาด ในกิจกรรมผ้าป่าภาพถ่าย ขอให้ทุกคนแต่งกายสุภาพ สำรวบจิต สำรวบใจ เมื่อมีภาพถ่ายออกไปสู่สังคมโลกเขาจะได้ยกย่องชื่นชมยินดี ก็จะเป็นการปลูศรัทธาขึ้นแม้นในหมูชนที่ยังไม่เกิดศรัทธาได้ชมได้เห็นก็จะเกิดศรัทธา แม้นคนที่ศรัทธาอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มพูลความศรัทธายิ่งๆ ขึ้นไป ก็นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งที่พวกเราพร้อมกันมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อความดีงามของพวกเรา เพื่อการเชิดชูเกียรติยศชื่อเสียงของวัด ของครูบาอาจารย์ด้วย“
หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม

คุณสุจินตนา จรรยาทิพย์สกุล ประธานมูลนิธิเก้า ยั่ง ยืน กล่าวว่า
วันนี้ได้มีโอกาสมาที่วัดป่าบ้านตาด ในวันมาฆบูชาแล้วรู้สึกว่าที่นี่ได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ได้มาเยี่ยม กุฎิ ของหลวงตาบัว รู้สึกประทับใจที่ท่านยังเมตตาพวกเราอยู่ ท่านยังอยู่กับพวกเรา สิ่งที่ท่านทำไว้คือ อยากให้พวกเราได้รู้ว่าบุญนั้นเป็นหลักฐานของการเจริญทุกๆ อย่าง

ฉะนั้น พวกเราก็ได้มีศรัทธามาร่วมบุญกับท่านพระอาจารย์สุธรรม ที่ท่านพยายามช่วยนักเรียน ช่วยผู้ป่วยโรงพยาบาลทุกแห่งที่มีความเดือดร้อน ช่วยทุกๆ ชนชั้น ทุกๆ หมู่เหล่าก็เป็นหน้าที่ของสงฆ์ ที่จะช่วยกันขจัดความทุกข์ยากเท่าที่ท่านทำได้ บุญที่ท่านทำที่นี่ได้มาเห็นมหาวิหาร มหาเจดีย์ ที่งดงาม และตั้งใจสร้าง โดยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ล้ำยุค และจะอยู่กับเราอีกเป็นพันปี หรือหลายพันปีก็ตามและอาจจะขาดไม่ได้ก็คือปัจจัยสนับสนุน ที่จะต้องมีการซ่อมแซม คือ ดูแลรักษาให้คงอยู่คู่กับประเทศไทย คู่กับพระพุทธศาสนา ให้รู้ถึงชาวพุทธนั้น มีจิตศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ และมีจิตศรัทธาในการรักษาธรรมะของพระพุทธองค์ พระสงฆ์เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นผู้ปฏิบัติ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีแล้วก็จะได้เห็นพระธรรม และได้เข้าถึงพระพุทธองค์ นั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่ว่าต้องพบครูบาอาจารย์ ผู้ชี้แนะที่ถูกต้องไม่หลงไปในทางอื่น พวกเราทุกคนก็จะได้พบความสุขที่แท้จริง เหมือนหลวงตาได้กล่าวไว้

“เราต้องมีทุกลมหายใจ คือ นึกถึงพุทธโธ ไม่ว่าจะทำอะไร เพราะฉะนั้น ศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ จะทำให้เรากลับมานึกถึงตัวเอง นึกถึงสิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ต้องทำให้พุทธศาสนายังคงอยู่ต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้จริง สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และหลวงตา หลวงปู่ ทุกพระองค์ ก็พิสูจน์ว่าท่านเป็นคนธรรมดาที่ทำได้จริง สิ่งที่ท่านทำไว้ก็คือ ได้เห็นสิ่งบารมีที่สั่งสม ทำให้ชาวพุทธศาสนายังอยู่ยังยืนยงจนถึง 2567 ปี ก็หวังว่าเราชาวพุทธทุกคน จะได้ช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนานี้ให้ยืนอยู่ต่อไปคู่โลกของเรา จนมีความสุข ทุกๆ คน ทุกๆ ท่าน ที่ได้เข้ามาได้ปฏิบัติ และได้นำสิ่งที่เป็นความจริงนั้น สู่ตนเองมาร่วมกันทำบุญและช่วยให้พระพุทธศาสนาเจริญก้าวหน้าต่อไป ในทางธรรมในทุกๆ บทบาท” ประธานมูลนิธิฯ กล่าว

ด้าน นายฐิติวัชร์ สุชนวนิช ไวยาวัจกร วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด)
กล่าวว่าวันนี้จะพานําชมโครงการพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ซึ่งจัดสร้างขึ้นบนพื้นที่ 181 ไร่ 3 งาน 17 ตารางวา โดยแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนอาคารและภูมิทัศน์ 38 ไร่ ประกอบด้วย 3 อาคาร คือ พิพิธภัณฑ์ วิหาร เจดีย์ ซึ่งทั้ง 3 อาคาจะเป็นแกนกลางเดียวกัน มุ่งไปที่จิตกาธาน แล้วก็มุ่งไปพุทธคยา เป็นสถาปัตยกรรมศิลปะล้านช้าง ผสมผสานกับศิลปะยุคกรุงรัตนโกสินทร์
สะท้อนให้เห็นถึงการสืบทอดพระพุทธศาสนาในถิ่นอีสานที่ยังคงดำรงอยู่

โดยในส่วนหลังคาที่เห็นเป็นส้มๆ จะเป็นหลังคาทองแดง ผลิตจากเยอรมัน เป็นลอนกาบกล้วย มีการเคลือบความเงางามของหลังคาทองแดงไว้อีกประมาณ 5 ถึง 10 ปี หลังจากนั้นก็จะค่อยๆกลายเป็นสีเขียว เหมือนกับอาคารพระที่นั่งอนันต์ฯ

และในส่วนอาคารแรก เป็นอาคารพระเจดีย์ ประกอบด้วย ชั้นล่าง เป็นบุษบกทองคำบรรจุอัฐิธาตุขององค์หลวงตา ชั้นต่อมาจะเป็นผอบเจดีย์ทองคํา เก็บกะโหลกขององค์หลวงตาและอัฐิธาตุบางส่วน และจะมีชั้นที่ 33 เป็นห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และจะมีในส่วนของปลียอดทองคำ รวมทั้งหมด 200 กว่ากิโล
คือ ในส่วนที่หนึ่ง ยอดฉัตร ทองคำหนัก 86 กิโล หล่อหนาประมาณ 1 เซนติเมตร สูงประมาณ 113 เซนติเมตร ฉัตรชั้นหนึ่งจะหล่อหนา 1 เซนติเมตร เหมือนกัน น้ําหนัก 99 กิโล และในส่วนของชั้นที่ 2-3-4-5 ปลียอด จะเป็นการเปียกทองจะมีน้ำหนักของทองคําอยู่ที่ 39 กิโล รวมทั้งหมด 224 กิโล

ในส่วนชั้นที่ 33 จะมีหินไวท์คาร่า เป็นเจดีย์ 5 ยอด ซึ่งเจดีย์ 5 ยอด จะบรรจุพระการันต์ ซึ่งพระการันต์ จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และจะมีพระอบ ทั้งหมด 4 พระอบ ซึ่ง 3 พระอบ จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และอัฐิธาตุของหลวงตา และจะมีพุ่มดอกบัวเงิน ดอกบัวทอง

ในอีกส่วนหนึ่งจะมีพระ 4 องค์ คือ 1.พระทองคำ น้ำหนัก 50 กิโล มูลค่า 100 ล้านบาท 2.พระเนื้อเงิน มูลค่า 1.5 ล้านบาท 3.พระเนื้อพิงค์โกลด์ Pink Gold) มูลค่า 30 ล้าน 4.พระเนื้อหินจุ่ยเจียร มูลค่า 19 ล้าน

ในส่วนของอาคารพระวิหาร ประกอบด้วย พระประธาน มีองค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปูมั่น หลวงตาบัว ในส่วนของพระวิหารจะตกแต่งด้วยหินไวท์คาลาสามารถที่จะให้พุทธศาสนิกชนเข้ามากราบไหว้ และสามารถที่จะกราบไปถึงอัฐิธาตุขององค์หลวงตา คือ พระเจดีย์ กราบไปที่จิตกาธาน กราบไปถึงพุทธคยาได้เลย

ส่วนอาคารที่ 3 จะเป็นการเล่าประวัติของหลวงตา ทั้งหมด 6 ห้อง ห้องที่หนึ่ง คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นการเกริ่นนําเกี่ยวกับธรรมะของพระพุทธเจ้า
ห้องที่สอง หลวงตากําเนิดเกิดที่ไหน ท่านมาบวชได้อย่างไร ชื่อห้อง “จากกตัญญู มีสัจจะ สู่ร่มกาวพัสตร์”
ห้องที่ 3 ท่านบวชแล้วเป็นมหาจากปริยัติมุ่งมั่นเพียรพยายามสู่การปฏิบัติจนสําเร็จ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2493
ห้องที่ 4 ห้องหยดน้ำบนใบบัวหลังจากที่โยมแม่ท่านป่วย ท่านก็เลยมาสร้างวัดป่าบ้านตาด มีการจําลองกุฏิที่ศาลาในวัดป่าบ้านตาด มีรูปเหมือนองค์หลวงตา มีกัณฑ์เทศน์ขององค์หลวงตาต่างๆ สอนเด็ก สอนข้าราชการ สอนนักธุรกิจทั่วๆ ไปหมุนเวียนไปประมาณ 6-7 คลิป
ห้องที่ 5 เป็นบารมีองค์หลวงตาช่วยชาติซึ่งจะเป็นจุดที่หลวงตาได้มีความเมตตาในการส่งเคราะห์อนุเคราะห์โลกไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน หรือผ้าป่าช่วยชาติ โดยเฉพาะโครงการทองคําช่วยชาติ ท่านรวบรวมทองคําได้ทั้งหมด13 ตัน
ห้องสุดท้าย เป็นห้องวาระสุดท้ายของหลวงตา คือ ละสังขาร พุทธบริษัท 4 สามัคคีบูชา จะมีห้องโมเดล ซึ่งเป็นห้องที่แสดงอาคาร ทั้ง 3 อาคาร โครงการนี้มูลค่า รวมทั้งหมด 1,488 ล้านบาท

นายฐิติวัชร์ กล่าวว่าวัตถุประสงค์ในการสร้าง คือ เป็นการทดแทนบุญคุณขององค์หลวงตา สิ่งที่สําคัญ คือ หลวงตาท่านไม่ได้อนุญาตให้สร้างเจดีย์ท่านบอกว่าถ้าสร้างเจดีย์ท่านไม่อนุญาต แต่ถ้าเป็นการสร้างพิพิธภัณฑ์ เล่าประวัติของท่าน เผื่อว่าคนที่มีอุปนิสัยเหมือนท่าน แล้วเข้ามาเรียนรู้ จะได้เจริญรอยตาม คือ วัตถุประสงค์ของหลวง ถึงมีการตั้งชื่อว่า “โครงการพิพิธภัณฑ์ ธรรมเจดีย์” โดยจะเปิดให้เข้าชมวันละ 6 รอบ รอบเช้า เวลา 09.30 น. 10.00 น. และ 10.30 น. รอบบ่าย เวลา 13.30 น. 14.00 น. และ 14.30 น.เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันเว้นวันจันทร์