“สุวัจน์” ให้กำลังใจคนไทยร่วมสู้โควิดอีกครั้ง สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า โควิดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องโควิดต้นปีเดือนมกราคมก็มีทั้งมาตรการและการร่วมมือของพี่น้องประชาชน ทำให้เราสามารถบริหารการจัดการได้ ได้รับการยอมรับ และผลที่ได้รับจากการบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับก็สะท้อนไปถึง ความเชื่อมั่น ทุกคนก็คาดหวังว่า เมื่อมีวัคซีน เมื่อโควิดจบประเทศไทยจะได้รับโอกาสในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โอกาสในการฟื้นตัวในการท่องเที่ยว และโอกาสการลงทุน แต่ในกรณีที่ได้เกิดเหตุการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาครตามที่ได้มีการแถลงข่าว ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อยข้างสูง ที่ทำให้เกิดการตกอกตกใจสร้างความวิตกกังวลให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย และอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขที่เคยเป็นจุดแข็งของประเทศ

“ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาคร เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง เราก็ต้องยอมรับว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีหนัก ที่แสดงออกว่าโควิดยังเป็นปัญหาที่เราจะต้องมีความร่วมมือจัดการกันอย่างจริงจังต่อไป ตามใดที่วัคซีนยังไม่ได้นำมาใช้อย่างเป็นทางการ ปัญหาโควิดยังไม่จบจากนี้ไปมาตรการในเรื่องสาธารณสุข มาตรการของรัฐบาลก็จะต้องมีการนำมาใช้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดอีกครั้งหนึ่ง ก็ต้องมีการร่วมมือกันว่ามาตรการอะไรที่จะนำมาใช้และไม่กระทบเรื่องเศรษฐกิจ คือ ต้องบริหารทั้งสองอย่างเป็นมาตรการที่ต้องเอาโควิดอยู่ด้วยและไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นด้วย”

นายสุวัจน์ กล่าวว่าความร่วมมือเป็นเรื่องสำคัญต้องมีการสร้างมาตรการที่สร้างความเข้มแข็งที่จะจัดการเรื่องโควิดให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่พี่น้องประชาชนที่จะสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ คือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ มีระยะห่างที่เหมาะสม ถ้าไม่จำเป็นก็อยู่บ้านกัน พยายามดูแลตัวเองก็จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้

“คิดว่าเรื่องโควิด เป็นเรื่องสำคัญ คือถ้าเราจัดการไม่อยู่ จะกระทบกับเรื่องเศรษฐกิจไปด้วย ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนก็คาดหวังกันว่าปีหน้าเศรษฐกิจกิจปีหน้าก็จะเริ่มดีขึ้น ต่างประเทศ เค้าก็มองประเทศไทยดีมาก ค่าเงินบาทเราแข็งมาก เพราะว่ามีเงินจากต่างประเทศเข้ามาประเทศไทยเยอะ เพราะเค้ามีความเชื่อมั่น เค้าคาดการณ์ว่า เมื่อโควิดเรียบร้อย ประเทศไทยจะกลับมา”นายสุวัจน์ กล่าว