สมาคมโรคติดเชื้อ แนะ รบ.สั่งวัคซีน mRNA- ไวรัลเว็คเตอร์ แทนซิโนแวค รับมือสายพันธุ์เดลต้า
สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย เผยแพร่จดหมายถึง นายกรัฐมนตรี โดยข้อความระบุว่า ทางสมาคมฯ มีความห่วงในในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความผันแปรตลอดเวลา โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัส ที่มีส่วนทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง จึงใคร่ขอนำเรียนเพื่อพิจารณาในประเด็น ดังต่อไปนี้
1. นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคาดหมายว่าไวรัสสายพันธุ์อินเดีย จะกลายเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดกว้างขวางที่สุดและเป็นสายพันธุ์เด่นทั่วโลก ดังที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียและประเทศอังกฤษ
2. วัคซีนทุกชนิดที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้ กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียใต้น้อยลงเมื่อเทียบกับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม ข้อมูลเท่าที่มี พบว่าสําหรับวัคซีนชนิด mRNA แม้จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ เช่น วัคซีนของบริษัท AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้น้อยลง ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อตาย คือ Coronavac (Sinovac) นั้น ไม่มีข้อมูล
เนื่องจาก วัคซีนนี้ ไม่เคยมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่ทําอย่างเป็นระบบและตีพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์อังกฤษที่ได้จากวัคซีนชนิดนี้ต่ำกว่า ที่ได้จากวัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ จึงคาดหมายได้ว่า ระดับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์อินเดียน่าจะลดลงต่ำไปกว่านั้นอีก จนอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนนี้ในภาพรวม
3. ข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนจากบริษัท Sinovac ในประเทศไทยที่พบว่าระดับภูมิคุ้มกันหลังการได้รับวัคซีน 2 เข็ม มีระดับเพียงพอ ลดอัตราการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ เป็นข้อมูลที่เก็บในช่วงของการระบาด ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ จึงยังไม่อาจนําข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีน มาใช้ในการพิจารณาจัดซื้อวัคซีนในรุ่นถัดไป
4. ประเทศที่ประสบความสําเร็จในการใช้วัคซีนเพื่อการควบคุมการระบาด ล้วนแต่ใช้วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะทั้งสิ้น ส่วนประเทศที่ใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นหลัก เช่น อินโดนีเซียและชิลี ยังพบผู้ป่วยใหม่ในอัตราที่สูงมาก แม้จะลดอัตราตายได้ แต่ก็เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น ในขณะนี้เริ่มปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากขึ้น ในประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศชิลี มีการใช้วัคซีนชนิด mRNA เพิ่มขึ้นอย่างมาก และพบว่าวัคซีนชนิด mRNA มีประสิทธิผลสูงกว่าวัคซีนของบริษัท Sinovac ในทุกด้าน ทั้งการป้องกันการป่วย (90.99% เทียบกับ 63.69%) ป่วยปานกลาง (97.19% เทียบกับ 87.396%), ป่วยหนักเข้า ICU (98.496% เทียบกับ 99.96%) และเสียชีวิต (91.8% เทียบกับ 86.496%) การเลือกชนิดของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมป้องกันโรค จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อนโยบายการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศไปแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย จึงขอเสนอแนวทางเรื่องวัคซีน ดังนี้
1. รัฐบาลควรเร่งรัด และสร้างหลักประกันในการที่จะมีวัคซีนที่ได้วางแผนจัดซื้อไว้แล้ว ให้มีใช้ในปริมาณที่เพียงพอ และถ้าเป็นไปได้ ให้มีวัคซีนเข้ามาเร็วกว่าเดิม เพื่อเร่งระดมฉีดให้กับประชาชนให้ครอบคลุมได้ตามเป้าหมายโดยเร็วต่อไป การเร่งให้ประชาชนได้รับวัคขึ้นอย่างครบถ้วนโดยเร็วที่สุดดังกล่าวนี้ มีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่จะช่วยชะลอการระบาดของเชื้อทุกสายพันธุ์ได้ระดับหนึ่ง จนกว่าจะมีวัคซีนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่
2. เร่งรัดจัดหาวัคซีนชนิดอื่น เช่น วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ มาทดแทนวัคซีนชนิดเชื้อตายของบริษัท Sinovac ซึ่งในแผนการจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมให้ครบ 150 ล้านโดสนั้น มีสัดส่วนของวัคซีน ของบริษัท Sinovac ค่อนข้างมาก
ทั้งที่มีแนวโน้มว่าวัคซีนนี้น่าจะป้องกันโควิด-19 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ หากได้วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะเพิ่มขึ้น โดยจัดหาวัคซีนชนิด mRNA มาในสัดส่วนที่มากที่สุด น่าจะเป็นผลดีต่อการควบคุมป้องกันโรคมากกว่า ทั้งนี้ หากสามารถจัดหามาได้ในปริมาณมากตั้งแต่ก่อนสิ้นปีนี้ ยิ่งจะเป็นการดี
3. รัฐบาลควรมีแผนการจัดหาวัคซีนรุ่นต่อไป ที่ผู้ผลิตออกแบบให้สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ รวมทั้งเตรียมการจัดซื้อล่วงหน้า โดยแก้ไขหรือยกเลิกระเบียบขั้นตอนที่ยุ่งยากทางราชการที่ทําให้การจัดซื้อเป็นไปด้วยความล่าช้า มีแนวนโยบายและการสั่งการที่ชัดเจนในประเด็นของความเร่งด่วนของสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องคำนึงถึงความโปร่งใส สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ด้วย
4. รัฐบาลควรส่งเสริมนักวิจัยและอุตสาหกรรมยาในประเทศ ให้สามารถทําวิจัยได้สําเร็จ และมีศักยภาพที่จะผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพสูงได้เองภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพิงต่างชาติ ทั้งยังอาจเป็นหนทางสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย.
4. ประเทศที่ประสบความสําเร็จในการใช้วัคซีนเพื่อการควบคุมการระบาด ล้วนแต่ใช้วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะทั้งสิ้น ส่วนประเทศที่ใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นหลัก เช่น อินโดนีเซียและชิลี ยังพบผู้ป่วยใหม่ในอัตราที่สูงมาก แม้จะลดอัตราตายได้ แต่ก็เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างมาก