“สุวัจน์” โชว์วิชั่นนโยบายท่องเที่ยว วางเป้า 5 ปีเพิ่มนักท่องเที่ยวเท่าประชากร ดันรายได้เทียบส่งออก
“สุวัจน์” โชว์วิชั่นนโยบายท่องเที่ยว วางเป้า 5 ปีเพิ่มนักท่องเที่ยวเท่าประชากร ดันรายได้เทียบส่งออก ต้องลงทุนเมกะโปรเจ็กส์การท่องเที่ยวให้ทั่วประเทศ ชูไอเดีย “เที่ยวทั่วถิ่นไทย” หนุน อปท.กลไกขับเคลื่อนผ่าน กองทุนตำบลละ 2 ล้าน ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ และ เอสเอ็มอี ช่วยปั้นรายได้เข้าชุมชน หนุนเอกชนผุดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ “มารีน่า” “ธีมปาร์ค” “แมนเมด” และ “ไทยแลนด์ริเวอร์ร่า” แม่เหล็กดึงดูดขากิน เที่ยว ช็อปปิ้ง ลั่น กีฬา – ท่องเที่ยว ควรไปด้วยกัน เพื่อหนุนเสริมภาพลักษณ์ประเทศให้ทั่วโลกได้รู้จัก ย้ำ “ทัวร์จีน” สำคัญภาพลักษณ์ความเสมอภาคการให้บริการต้องดี
เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ห้องประชุมจีรบุญมาศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จัดเสวนา “นโยบายด้านการท่องเที่ยว” โดยเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาแสดงวิสัยทัศน์จาก 9 พรรคการเมือง ว่าแต่ละพรรคมีนโยบายหรือแนวคิดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนได้ตัดสินใจในการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่านโยบายด้านการท่องเที่ยวพรรค ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน สามารถสร้างภูมิคุ้มกันจากการได้รับผลกระทบจากต่างประเทศหรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้ และ สามรถการกระจายรายได้อย่างเสมอภาคไปสู่ระดับตำบล หมู่บ้าน และในทุกอาชีพ ถือเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในการแก้ปัญหาความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ และที่สำคัญจุดแข็งที่สุดทางเศรษฐกิจไทย คือ การท่องเที่ยวที่ประเทศไทยไม่แพ้ประเทศใด ดังนั้น การท่องเที่ยว ต้องเป็นวาระแห่งชาติและผลักดันให้เป็นเศรษฐกิจของประเทศ
นายสุวัจน์ กล่าวว่านโยบายการท่องเที่ยวของพรรค แบ่งได้ 4 ส่วน คือ 1.เป้าหมาย 5 ปี ต้องเพิ่มปริมาณนักท่องให้เท่ากับปริมาณของประชากรประเทศ 2.ผลักดันรายได้การท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ จีดีพี เทียบเท่ากับการส่งออก 3.ผลักดัน “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว” เช่น ศูนย์มารีน่า รถไฟความเร็วสูง และ มอเตอร์เวย์ เพื่อมาเชื่อมโยงและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว และอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยว เช่น การปรับปรุงห้องน้ำให้สะอาด ดูแลความสะอาดชายหาด ฯลฯ และ 4.สนับสนุนวิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ หรือผู้ประกอบการรายย่อย เช่น สินค้าโอทอป หรือ อาหารพื้นเมืองพื้นถิ่น ต้องทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก และสนับสนุนการกีฬาควบคู่การท่องเที่ยว เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว
นายสุวัจน์ กล่าวว่าเสน่ห์การท่องเที่ยวไทย คือ ธรรมชาติความสวยงาม และ ต้องสนับสนุนให้มี “ธีมปาร์ค” เพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ดึงดูด และเพิ่มช่องทางในการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว พร้อมกับสนับสนุนการจัดการท่องเที่ยวประเภท “แมนเมด” หรือแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น และการจัดอีเว้นท์ใหญ่เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทย รวมถึงการสนับสนุนนโยบาย “ โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก หรือ Thailand Riviera” ในการพัฒนาเขตพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ในการรักษา ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว หรือ การบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้โดยเฉพาะในฝั่งอ่าวไทย ให้สามารถแข่งขันคู่ขนานกับการท่องเที่ยวในฝั่งอันดามัน
นายสุวัจน์ กล่าวว่าพรรคมีนโยบายสนับสนุนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ในการพัฒนาการท่องเที่ยว ถือเป็นนโยบายข้อที่ 2 ของพรรค ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้า ด้วยการจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวระดับตำบลละ 2 ล้านบาท” โดยท้องถิ่นสามารถนำเงินตรงส่วนนี้ไปปรับปรุงการท่องเที่ยวท้องถิ่น เช่น ปรับปรุงสินค้าโอทอป อาหารพื้นบ้านพื้นถิ่น หรือ แหล่งท่องเที่ยวประจำหมู่บ้านหรือตำบล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศเข้ามาเที่ยวในชุมชน
“กองทุนดังกล่าวถือเป็นการกระจายรายได้แก่ท้องถิ่น ที่ผูกโยงกับการกระจายอำนาจ จากเดิมท้องถิ่นได้รับงบประมาณ 29% พร้อมๆผลักดันให้เพิ่มไปถึง 35% ดังนั้นการใช้กองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวระดับตำบล ถือเป็นการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านการท่องเที่ยว” นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวว่าการกีฬากับการท่องเที่ยว ควรอยู่ด้วยกันได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวกับการกีฬาไปด้วยกัน อย่างเมื่อ 10 ปีก่อน ตนเคยพา “มาเรีย ชาราโปว่า” นักเทนนิส ชื่อดังอันดับหนึ่งของโลกมา หัวหิน จ.ประจวบฯ มาเล่นกีฬาและมาท่องเที่ยวไปในตัว พร้อมๆกับแนะนำให้รู้จักวัฒนธรรมไทย โดยแนะนำให้ตื่นขึ้นมาตักบาตรในตอนเช้า ทำให้สื่อระดับโลก CNN ให้ความสนใจออกข่าวไปทั่วโลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานักท่องเที่ยวรู้จัก หัวหิน หรือ การจัด “ไทยไฟท์” ถือเป็นการยกระดับการแข่งขันมวยไทย ขึ้นสู่ระดับสากลและให้ทั่วโลกได้รู้จักประเทศไทย เช่น จัดไทยไฟท์ ที่ ภูเก็ต หรือ สมุย ต่างชาติได้รู้จักมวยไทยและสถานที่ท่องเที่ยวไทยด้วย ดังนั้นการท่องเที่ยวกับการกีฬาไปด้วยกันและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
“เมื่อพรรคเห็นว่าการท่องเที่ยวและกีฬาไปด้วยกัน คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ย่อมต้องเข้าใจสองเรื่อง คือ กีฬา ต้องเอากีฬามาสร้างกระแสให้คนรักสุขภาพหันมาเล่นกีฬา พร้อมๆนำกีฬามาสร้างความรักความสามัคคี และ สร้างความเชื่อมั่นของประเทศ และการท่องเที่ยวคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องเป็นคนมีนิสัยชอบกินชอบเที่ยว มีรสนิยม และเข้าใจจุดขายการท่องเที่ยวจะทำอย่างไรให้คนมาเที่ยวเมืองไทย ดังนั้นรัฐมนตรี ต้องเป็น 1 คน 2 ภารกิจ พรรคมีคนพร้อมด้านบุคลากรแต่จะเป็นบุคคลใดต้องรอหลังเลือกตั้งจะบอบกว่าเป็นใคร” นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวว่าหากเกิดปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหามีไว้แก้ No Problem เช่น อุบัติเหตุเรือล่ม หรือ ชายหาดสกปรกรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขโดยการให้ความสำคัญด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าประเทศไทยแคร์ความรู้สึกนักท่องเที่ยว เช่น เหตุการณ์สึนามิ ที่ จ.ภูเก็ต สมัยนั้นตนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่เข้าไปฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความรู้สึกญาตินักท่องเที่ยวที่มาเสียชีวิตกว่า 5 พันคน จึงเร่งประชาสัมพันธ์การจัดงานครบรอบเหตุการณ์สึนามิ 1 ปี โดยเชิญญาติผู้เสียชีวิตจากทั่วโลกให้มาเมืองเที่ยวไทยและจัดพิธีปล่อยโคมไฟ 5 พันดวง เต็มท้องฟ้า จ.ภูเก็ต เพื่อแสดงออกถึงความอาลัยอย่างจริงใจ จากนั้นเป็นต้นมาภาพลักษณ์ จ. ภูเก็ต กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะทั่วโลกเห็นแล้วว่าคนไทยแคร์ความรู้สึกนักท่องเที่ยวทุกคน
นายสุวัจน์ กล่าวนโยบายท่องเที่ยวเมืองรอง ทางพรรคชาติพัฒนาเห็นด้วยถือเป็นนโยบายที่ดีในการกระจายรายได้แก่ประชาชนให้ทั่วถึง แต่เห็นว่าควรปรับเปลี่ยนจากการท่อง “เที่ยวเมืองรอง” เปลี่ยนเป็นนโยบาย “เที่ยวทั่วถิ่นไทย” จะดีกว่าเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รู้ว่าเที่ยวเมืองหลัก หรือ เมืองรอง แตกต่างและน่าสนใจอย่างไร สิ่งสำคัญในการผลักดันนโยบาย “เที่ยวทั่วถิ่นไทย” คือ การพานักท่องเที่ยวไปให้ถึงทุกทีด้วยการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น นครราชสีมา มีการพัฒนาถนนมอเตอร์เวย์ และ รถไฟความเร็วสูง ที่ต่อไปนักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวได้ทุกหมู่บ้านและตำบล พร้อมๆกับการใช้กองทุนการท่องเที่ยวของพรรคนำไปปรับปรุงการท่องเที่ยวในชุมชนตนเอง เช่น สินค้าโอทอป หรือ อาหารพื้นถิ่น รวมถึงพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวให้อำนวยความสะดวก
“วันนี้ประเทศไทยต้องการนักท่องเที่ยวจีนอย่างมาก ที่มีกว่า 10 ล้านคน หรือ 20-25% ต่อจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ที่มาเที่ยวไทย ดังนั้นนโยบายท่องเที่ยวต้องสร้างความหลากหลาย เพราะจีนนิยมชอบกิน ชอบเที่ยว และ ชอบช็อปปิ้ง จึงควรออกแบบการท่องเที่ยวให้ถูกกับรสนิยมคนจีนชอบ ที่สำคัญต้องต้อนรับอย่างเสมอภาคทุกชาติ ไม่ว่าจีน หรือ ยุโรป เพราะส่งผลต่อการลงทุนและภาพลักษณ์อย่างมาก เมื่อมาเที่ยวไทยแล้วต้องปลอดภัย และอำนวยความสะดวกอย่างทั่วถึง เพราะจีนมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก” นายสุวัจน์ กล่าว
/-/-/